ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้
-
ผมได้เห็นบทความของหลายสำนักข่าว ตีข่าวใหญ่เรื่อง ระเบิดขนาดใหญ่ 160 กิโล ที่ยะลา แล้วก็หวนคิดถึง ระเบิดที่หน้าศาลอาญารัชฏา ที่จับแพะเป็นจำนวนมากได้ ลามไปถึงน้องแหวน พยานปากเอกคดี ทหารฆ่าประชาชนในวัดประทุม 6 ศพ แล้ว ก็เกิดข้อสงใส เหมือนกัน เหตุที่ต้องสงใส
-
เพราะ..............
-
1. ตกลงทหารที่สมัย อุดมแดก อดีต ผบ.ทบ.. กล่าวไว้ว่าจะถอนทหารรออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชานแดนใต้ไม่ถอนแล้วใช่ไหม เพราะต้องการกวาดล้างโจรใต้ให้สิ้น ภายใน 6 เดือน
-
2. ตกลงชีวิตของพี่น้องชาว ยะลา นรา ปัตตานี กว่า 8 พันกว่าศพ ที่ต้องสังเวย ทหารทรราช คสช. ยังคงดำรงอยู่ต่อไป งั้นหรือ
-
3. และตกลงว่างบประมาณ ของแผ่นดินที่ทหารทรราช ถลุงไปกว่า หลายแสนล้านบาท เป็นการ ตำน้ำพริก ละลายแม่นำ้โก-ลกงั้นซิ
4. แผนการสร้างสถานการณ์ นำต้นแบบ และวิธีการมาจาก ระเบิดหน้าศาลอาญารัชฏาใช่หรือไม หากไม่ใช่ ทำไมวิธีการ ชั่งเหมือนกันเหลือเกิน
5. งบประมาณและอายุราชการของทหารที่ได้ จากการลงไปพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความหอมหวานถึงขนาดต้องฆ่าต้องแกง ประชาชน เพื่อให้สมจริงได้ถึงขนาดนี้หรือ ความเป็นคนไม่หลงเหลืออยู่เลยหรือในกมรสันดานของ ทรราช คสช.
-----------------------------------------------------------
สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!
-
เหตุรุนแรง 2 เหตุการณ์สำคัญ คือ คนร้ายกว่า 50 คนบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 มี.ค. และกรณีคนร้าย 7-8 คน ปล้นรถสองสามีภรรยาจาก อ.บันนังสตา จ.ยะลา ก่อนนำไปบรรทุกระเบิด แล้วบังคับให้ขับไปจอดเพื่อก่อวินาศกรรมกลางเมืองยะลา เมื่อวันที่ 5 เม.ย.นั้น กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
-
เป็นการถูกพูดถึงในแง่ของการตั้งคำถามเกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย แม้ว่าทั้งสองเหตุการณ์จะไม่ได้นำมาซึ่งความสูญเสียขนาดใหญ่ก็ตาม
-
รายงานพิเศษชิ้นนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำความคิดหรือความเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงการรวบรวมข้อสังเกตของฝ่ายต่างๆ ประกอบข้อมูลและบทวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบางหน่วยมานำเสนอเท่านั้น
-
ทั้งนี้เพื่อสะท้อนว่าพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงเป็นดินแดนสนธยา และเต็มไปด้วยความซับซ้อนจริงๆ
-
ยึด รพ.ใช้กระสุนเปลือง!
-
เริ่มจากเหตุคนร้ายบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง เพื่อใช้เป็นที่มั่นและจุดสูงข่มในการระดมยิงฐานทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4816 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับรั้วโรงพยาบาล แม้จนถึงขณะนี้จะมีข้อมูลยืนยันจนสิ้นสงสัยแล้วว่าไม่ได้เป็นการกระทำในลักษณะ "จัดฉาก" ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรราช ด้วยกันเอง
-
ทว่าก็ยังมีข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ "สร้างสถานการณ์" โดยใครหรือกลุ่มใด เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการแสดงศักยภาพของขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนหรือไม่
-
ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตกันมากก็คือ ปลอกกระสุนของคนร้ายที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุซึ่งมีมากถึง 1,825 ปลอก จากปืนสงคราม 52 กระบอก เหตุใดถึงได้ยิงกันอย่างฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ ราวกับกระสุนเป็นของหาง่าย
-
ประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายรายมองตรงกันว่า ที่ผ่านมาหากเป็นปฏิบัติการของนักรบบีอาร์เอ็น การยิงจะมุ่งผลสัมฤทธิ์มากกว่านี้ และใช้กระสุนประหยัดกว่านี้ เนื่องจากกระสุนหายาก และอาวุธของบรรดานักรบเกือบทั้งหมดได้ไปจากการปล้นชิงเจ้าหน้าที่
-
ขณะเดียวกัน ในขณะที่ยิงกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกถึงเกือบ 2 พันนัด แต่กลับไม่ได้ก่อความสูญเสียต่อชีวิตของทหารพรานภายในฐานเลย มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 นาย เป็นทหารพราน 6 นาย และ อส.1 นาย
-
ข้อสังเกตนี้ไม่ได้มีขึ้นเพราะต้องการให้เกิดความสูญเสีย แต่ด้วยความที่คนร้ายอยู่ในจุดสูงข่มที่สามารถเลือกยิงได้ถนัดถนี่ ขณะที่ฝ่ายทหารก็ไม่กล้ายิงตอบโต้ เพราะคนร้ายใช้โรงพยาบาลซึ่งมีผู้ป่วยและหมอ พยาบาลเป็นสถานที่กำบัง แต่ด้วยวิถีการยิงที่ได้เปรียบ กับการใช้กระสุนจำนวนมาก กลับไม่อาจก่อผลที่สมกับรูปแบบความรุนแรงที่ได้กระทำ
-
ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธปืนสงคราม 52 กระบอกที่คนร้ายใช้ มีเพียง 18 กระบอกที่มีประวัติในสารบบของฝ่ายความมั่นคงว่าเคยใช้ก่อเหตุรุนแรงมาก่อน แสดงว่าอาวุธปืนอีกถึง 34 กระบอก หรือเกือบ 2 เท่า เป็นอาวุธที่ไม่เคยถูกนำมาใช้ หรือเคยใช้แต่ไม่เคยถูกเก็บประวัติ (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้)
-
คำถามคืออาวุธเหล่านี้มาจากไหน?
-
ขณะที่การติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุอุกอาจถึงขั้นควงอาวุธบุกยึดโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบก็อยู่ในอาการมืดแปดด้าน หมายจับที่ออกมาแล้ว 2-8 หมาย เป็นการออกตามประวัติการใช้ปืน 18 กระบอกในพื้นที่ 5 อำเภอของ จ.นราธิวาสเป็นหลัก ซึ่งต้องเรียกว่าเป็น "ฐานข้อมูลเก่า"
-
ที่สำคัญ ผู้ก่อเหตุหลายคนไม่ได้ใช้ผ้าหรือหมวกคลุมศีรษะปกปิดใบหน้า ซ้ำยังเดินผ่านกล้องวงจรปิดแบบไม่กลัวใครจำได้อีกด้วย
-
7ข้อสงสัยปล้นรถ-ซุกบอมบ์
-
เหตุการณ์ที่ 2 กรณีคนร้ายปล้นรถของลุงกับป้า สองสามีภรรยาจากพื้นที่บันนังสตา แล้วนำระเบิดถังแก๊ส 2 ถัง น้ำหนักระเบิด 160 กิโลกรัมยัดใส่รถ จากนั้นบังคับให้คุณลุงขับรถเข้าไปจอดกลางเมืองยะลาเพื่อกดระเบิด
-
ยุทธวิธีของกลุ่มคนร้าย นอกจากจะจับคุณป้าแยกขึ้นรถไปอีกคันเพื่อเป็นตัวประกันแล้ว ยังให้คุณลุงสวมเสื้อที่ผูกระเบิดติดไว้ เป็นการกดดันและบังคับอีกชั้นหนึ่งให้คุณลุงทำภารกิจให้สำเร็จอีกด้วย
-
เหตุการณ์นี้หากมีการระเบิดเกิดขึ้นจริง จะก่อความสูญเสียอย่างมหาศาล เพราะจุดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถไปจอด อยู่ใกล้ปั๊มน้ำมัน และบริษัทโตโยต้า พิธานพาณิชย์ยะลา ภาพที่คาดว่าจะออกมาหากเกิดระเบิด คือคนขับสวมเสื้อระเบิด คล้ายเป็น "ระเบิดพลีชีพ" เท่ากับเป็นการยกระดับความรุนแรงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เทียบเท่าก่อการร้ายสากล
-
เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ไม่ได้บานปลายถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังมีประเด็นข้อสงสัยจากฝ่ายต่างๆ จากหลายวงสนทนา พอสรุปได้ดังนี้
-
1.วิธีการของคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยการปล้นรถแล้วจับตัวประกันบังคับให้ขับรถของตัวเองบรรทุกระเบิดเข้าไปจอดในตัวเมือง เป็นวิธีการใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ที่ผ่านมามีแต่คนร้ายฆ่าเจ้าทรัพย์ แล้วชิงรถไปติดตั้งระเบิด ก่อนนำไปจุดระเบิดตรงบริเวณที่เป็นเป้าหมายทันที เห็นได้จากเหตุ "คาร์บอมบ์" ล่าสุดใน อ.เมืองปัตตานี หน้าฐานของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เมื่อ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็เป็นการฆ่าเจ้าทรัพย์ ชิงรถ ติดตั้งระเบิด แล้วโจมตี
-
คำถามคือเหตุใดคนร้ายจึงเลือกใช้วิธีการที่ซับซ้อนและมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย หากหวังผลให้เกิดการระเบิดเพื่อสร้างความสูญเสียในเขตเมืองและย่านเศรษฐกิจ
-
2.ความโหดเหี้ยมในการก่อเหตุของคนร้ายดูจะลดน้อยลงกว่าที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะหากเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.บันนังสตา และ อ.กรงปินัง ซึ่งมีประวัติการก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหด เพราะคุณป้าที่ตกเป็นตัวประกันก็ปลอดภัย แม้คุณลุงจะทำการไม่สำเร็จ คือไม่เกิดการระเบิดขึ้นก็ตาม
-
3.คนร้ายบางส่วนหรือทั้งหมด ไม่ได้ปกปิดหน้าตา การปล่อยตัวประกันทำให้นำไปสู่การออกภาพสเก็ตช์และติดตามตัวคนร้ายได้ง่าย ซึ่งล่าสุดก็มีข่าวตำรวจเริ่มจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว
-
4.การวางระเบิดของคนร้าย จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระบุว่า ระเบิดถังแก๊สทั้ง 2 ถังประกอบวงจรระเบิดไว้สมบูรณ์แล้ว และมีวงจรจุดระเบิดซ้อนมากกว่า 1 วงจร แต่หลังจากที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถผ่านด่านตรวจเข้ามาในพื้นที่เขตเมืองได้แล้ว มีบางช่วงที่คุณลุงขับรถหลุดพ้นจากการควบคุมของคนร้าย เหตุใดคนร้ายจึงไม่จุดระเบิดทันที
-
5.กรณีเสื้อผูกระเบิดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงสวมใส่เพื่อข่มขู่ให้ขับรถบรรทุกระเบิดไปจอดยังเป้าหมาย โดยข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่าคนร้ายต่อวงจรเอาไว้แล้ว เหตุใดคุณลุงจึงสามารถใช้กรรไกรตัดเสื้อระหว่างขับรถแล้วโยนทิ้งไปได้โดยไม่ระเบิด แต่กลับมีข่าวว่าเสื้อดังกล่าวระเบิดขึ้นระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการเก็บกู้
-
6.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ และรูปแบบการก่อเหตุไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุใดจึงมีแต่เพียงฝ่ายตำรวจและฝ่ายปกครองเท่านั้นที่มีข้อมูลและให้ข่าวกับสื่อ แต่ไม่ปรากฏข้อมูลในรายงานเหตุการณ์ของหน่วยงานทางทหาร
-
7.ระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ถังแก๊ส 2 ถังบรรทุกมาในรถ ยังมีข้อมูลสับสนว่าขับผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่เข้ามาหรือไม่ เพราะข้อมูลบางแหล่งระบุว่าขับผ่านด่านตรวจตามปกติ แต่บางแหล่งระบุว่าขับลัดเลาะหลบด่านทุกด้านจนเข้าเมืองได้
-
นอกจากนั้นข้อมูลที่รายงานผ่านสื่อบางแขนงอ้างว่าคุณลุงถูกคนร้ายใช้ถุงดำคลุมศีรษะเกือบตลอดทาง แต่บางสื่อกลับอ้างว่าคุณลุงรู้เส้นทางขับรถของคนร้ายว่าหลบด่านเข้าเมืองได้อย่างไร ถึงขนาดพาเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองย้อนดูเส้นทางลัดเลาะหลบด่าน ในลักษณะย้อนรอยคนร้ายด้วย
-
สมมติฐานใครคือผู้สร้างสถานการณ์
-
ทั้งสองเหตุการณ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีฝ่ายรัฐบาล ทรราช คสช. หรือต้องการสร้างภาพใน สถาณ๋การเลวร้าย ในแง่ลบ ตั้งประเด็นว่าเป็นการ "จัดฉาก" เพื่อหวังงบประมาณหรือด้วยเหตุผลของการต้องการ ฆ่าพี่้องมุสลิม
-
ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยยืนยันตรงกันว่า เป็นไปได้น้อยมากที่เหตุการณ์ระดับนี้ ใช้คนมากขนาดนี้ จะกระทำโดย "โจรใต้" เพราะปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหลายหน่วย หลายสี ปฏิบัติงานในพื้นที่จำนวนมาก มีการตรวจสอบซึ่งกันและกันค่อนข้างสูง และสิ่งที่โจรใต้ ไม่เคยพลาด จากการวางระเบิดมานัดครั้งไม่ถ้วนนั้น หากนำมาประกอยวิธีการวาง จะแตกต่างจาก เหตุการณ์ ระเบิด 160โล ครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของรัฐบาล ทรราช คสช.
-
ฉะนั้นการสร้างสถานการณ์โดยหน่วยใดหรือกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจึงเป็นเรื่องไม่ยาก ที่จะคาดเดา
-
เหตุการณ์ ทั้ง 2 ครั้งนี้ จุดประสงค์เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ งบประมาณและการคงอยู่ของกองกำลังทหารกว่า 5 หมื่นนาย ที่จะได้เบี้ยและอายุราชการทวีคูณอีกทั้งสวัสดิการต่างๆ อีกมากมาย บนคลาดน้ำตาและกองเลือดของพี่น้องประชาชน สืบต่อไป
-
สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก อิศรา
-
เสรีชน