Friday, January 22, 2016

ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ ตอน ๒๓ มค. ๒๕๕๙ . เปิดแผนศัตรู คสช และ เตรียมพร้อมล้ม คสช.เพื่อโค่นระบอบเผด็จการ

ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ ตอน ๒๓ มค. ๒๕๕๙ . เปิดแผนศัตรู คสช และ เตรียมพร้อมล้ม คสช.เพื่อโค่นระบอบเผด็จ...

http://www.youtube.com/watch?v=dmquXNURNhQ
http://www.mediafire.com/listen/7uzh7t042np9d31/chupong-usa2016-1-23.mp3 ดาว์โหลดเพื่อการเผยแพร่

ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ ตอน ๒๓ มค. ๒๕๕๙ . เปิดแผนศัตรู คสช และ เตรียมพร้อมล้ม คสช.เพื่อโค่นระบอบเผด็จการ

ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ ตอน ๒๓ มค. ๒๕๕๙ . เปิดแผนศัตรู คสช และ เตรียมพร้อมล้ม คสช.เพื่อโค่นระบอบเผด็จ...

http://www.youtube.com/watch?v=dmquXNURNhQ
http://www.mediafire.com/listen/7uzh7t042np9d31/chupong-usa2016-1-23.mp3 ดาว์โหลดเพื่อการเผยแพร่

บิ๊กตู่' ลั่น อยากทิ่มปาก 'จตุพร' จ้อ 'มีชัย' เขียนร่างฯรธน.ไม่ผ่าน

บิ๊กตู่' ลั่น อยากทิ่มปาก 'จตุพร' จ้อ 'มีชัย' เขียนร่างฯรธน.ไม่ผ่าน

นายกฯ ลั่นอยากหาอะไรทิ่มปาก "จตุพร" หลังชี้ "มีชัย" ตั้งใจเขียน รธน. ไม่ให้ผ่านประชามติ ท้า แน่จริงทำสัญญาประชาคมเลย เลิกทุจริต

เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 59 ที่มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระบุว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตั้งใจร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้ไม่ผ่านประชามติ ว่า "ไอ้คนพูดเนี่ยใคร ไปเอาอะไรทิ่มปากมันสักทีซิ มีใครจะบ้าทำอะไรแบบนั้น" เขาอธิบายแล้วว่าเขาออกแบบมาแบบนี้ เพื่ออะไร แล้วในส่วนของการเข้ามาของนักการเมืองเป็นอย่างไร แล้วที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ย้อนกลับไปสู่สาเหตุของปัญหาที่ตนมายืนตรงนี้ ท่านก็เห็นว่าปัญหาของประเทศอยู่ตรงไหน ทางด้านการเมือง การเข้าสู่อำนาจ การตรวจสอบอำนาจ การใช้อำนาจ ผลประโยชน์ทับซ้อน การไม่ทั่วถึงไม่เป็นธรรม ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ นั่นเขาถึงต้องมีกติกาออกมา

"ถ้าท่านบอกว่าพูดยังงั้นแล้ว ท่านก็ไปบอกไอ้คนพูดสิ ออกมายืนเข้าแถวสัญญาประชาคมว่า ต่อไปนี้ผมจะไม่ทุจริต ต่อไปนี้ผมจะมีธรรมาภิบาล ดังนั้นอย่ามาไล่กับผม เข้าใจรึยัง อย่าไปฟังเขามากผมขี้เกียจฟัง ฟังแล้วโมโห เสียอารมณ์หมด วันนี้ยิ่งอารมณ์ดีมาตลอด" นายกฯ กล่าว และบอกกับสื่อมวลชนว่า "พวกเธอก็อย่าไปฟังเขา อย่าไปขยายความให้เขา เขาพูดในบ้านก็เรื่องของเขา"


        อาสาหาข่าว
           22/1/59

บิ๊กตู่' ลั่น อยากทิ่มปาก 'จตุพร' จ้อ 'มีชัย' เขียนร่างฯรธน.ไม่ผ่าน

บิ๊กตู่' ลั่น อยากทิ่มปาก 'จตุพร' จ้อ 'มีชัย' เขียนร่างฯรธน.ไม่ผ่าน

นายกฯ ลั่นอยากหาอะไรทิ่มปาก "จตุพร" หลังชี้ "มีชัย" ตั้งใจเขียน รธน. ไม่ให้ผ่านประชามติ ท้า แน่จริงทำสัญญาประชาคมเลย เลิกทุจริต

เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 59 ที่มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระบุว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตั้งใจร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้ไม่ผ่านประชามติ ว่า "ไอ้คนพูดเนี่ยใคร ไปเอาอะไรทิ่มปากมันสักทีซิ มีใครจะบ้าทำอะไรแบบนั้น" เขาอธิบายแล้วว่าเขาออกแบบมาแบบนี้ เพื่ออะไร แล้วในส่วนของการเข้ามาของนักการเมืองเป็นอย่างไร แล้วที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ย้อนกลับไปสู่สาเหตุของปัญหาที่ตนมายืนตรงนี้ ท่านก็เห็นว่าปัญหาของประเทศอยู่ตรงไหน ทางด้านการเมือง การเข้าสู่อำนาจ การตรวจสอบอำนาจ การใช้อำนาจ ผลประโยชน์ทับซ้อน การไม่ทั่วถึงไม่เป็นธรรม ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ นั่นเขาถึงต้องมีกติกาออกมา

"ถ้าท่านบอกว่าพูดยังงั้นแล้ว ท่านก็ไปบอกไอ้คนพูดสิ ออกมายืนเข้าแถวสัญญาประชาคมว่า ต่อไปนี้ผมจะไม่ทุจริต ต่อไปนี้ผมจะมีธรรมาภิบาล ดังนั้นอย่ามาไล่กับผม เข้าใจรึยัง อย่าไปฟังเขามากผมขี้เกียจฟัง ฟังแล้วโมโห เสียอารมณ์หมด วันนี้ยิ่งอารมณ์ดีมาตลอด" นายกฯ กล่าว และบอกกับสื่อมวลชนว่า "พวกเธอก็อย่าไปฟังเขา อย่าไปขยายความให้เขา เขาพูดในบ้านก็เรื่องของเขา"


        อาสาหาข่าว
           22/1/59

Thursday, January 21, 2016

ดร. เพียงดิน รักไทย 22 มกราคม 2559 ตอน "มองเทศ มองไทย: พฤติกรรมทำลายตัวเองของคนไทย" เปรียบไทย ไทย มาเลเซีย และเวียตนาม


ดร. เพียงดิน รักไทย 22 มกราคม  2559
ตอน "มองเทศ มองไทย: พฤติกรรมทำลายตัวเองของคนไทย"
เปรียบไทย ไทย มาเลเซีย และเวียตนาม 
หรือ
*******************
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

ดร. เพียงดิน รักไทย 22 มกราคม 2559 ตอน "มองเทศ มองไทย: พฤติกรรมทำลายตัวเองของคนไทย" เปรียบไทย ไทย มาเลเซีย และเวียตนาม


ดร. เพียงดิน รักไทย 22 มกราคม  2559
ตอน "มองเทศ มองไทย: พฤติกรรมทำลายตัวเองของคนไทย"
เปรียบไทย ไทย มาเลเซีย และเวียตนาม 
หรือ
*******************
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

Wednesday, January 20, 2016

"ทหารมีไว้ทำไม? ช้างเหี้ย ๆ เอาไว้ทำไม?" ดร. เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย

"ทหารมีไว้ทำไม? ช้างเหี้ย ๆ เอาไว้ทำไม?" ดร. เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย
หรือ
----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

"ทหารมีไว้ทำไม? ช้างเหี้ย ๆ เอาไว้ทำไม?" ดร. เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย

"ทหารมีไว้ทำไม? ช้างเหี้ย ๆ เอาไว้ทำไม?" ดร. เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย
หรือ
----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

!!!อ า ห า ร ที่ กิ น คู่ กั น . . . อั น ต ร า ย ! !

ด่วน...คู่มรณะ ผลการวิจัยล่าสุดของศาสตราจารย์   Mome Kaowa แห่งสถาบัน Manosatra พบว่า
...:
 !!!อ า ห า ร ที่ กิ น คู่ กั น . . . อั น ต ร า ย ! ! 

1. กินทุเรียนกับ น้ำอัดลม  ให้พิษร้าย มากกว่าพิษงูเห่า!

2. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง  ห้ามรับประทานด้วย กันจะทำให้หูหนวก
...
3. น้ำเต้าหู้  ห้ามใส่ น้ำตาลแดง จะทำให้ เสียวิตามิน

4. มันฝรั่งกับกล้วย ทุกชนิด  ห้าม รับประทานรวมกัน จะทำให้หน้าเป็นฝ้า

5. หัวไชเท้ากับผลไม้ ทุกชนิด  ห้าม รับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดคอพอก

6. กล้วยกับเผือก  ห้ามรับประทานด้วย กัน จะทำให้ท้องอืด

7. บวบ ซือกวย ไชเท้า  ห้ามรับประทานวัน เดียวกัน จะทำให้เป็น เบาหวาน ทำให้เชื้อ อสุจิอ่อนไม่แข็งแรง

8. กล้วย+มะละกอ +แตงโม ห้าม รับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน

9. มังคุดกับน้ำตาล  กินรวมกันจะทำให้เสียชีวิต

10. ผักป๋วยเล้ง  ห้าม รับประทาน กับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง

11. น้ำผึ้ง  ห้ามชงด้วย น้ำที่ร้อนจะทำให้เสีย วิตามิน

12. ส้มกับมะนาว  ห้าม รับประทานด้วยกัน จะทำให้กระเพาะทะลุ

13. ปลาทุกชนิด ห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง

14. ขิงดอง ห้ามเข้า ตู้เย็น กินแล้วจะเป็น โรค มะเร็ง

15. น้ำข้าว ห้ามใส่กับ นม จะทำให้เสียวิตามิน

16.น้ำเต้าหู้กับนมสด ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำ ให้ท้องผูกและเส้นเลือดตีบ

17. ถั่วลิสงกับฟักทอง  ห้ามรับประทานรวม กัน จะทำให้ทำร้าย ร่างกายและลำไส้ อักเสบ

18. มันเทศกับลูกพลับ  ห้ามรับประทานรวม กัน จะทำให้เกิดนิ่ว ในกระเพาะอาหาร

19. เหล้าขาวกับลูก พลับ ห้ามรับประทาน ด้วยกันจะทำให้เป็นพิษ

20. เหล้าขาวกับเบียร์  ห้ามรับประทานด้วย กัน จะทำให้เส้นเลือด ในสมองแตก

21. หัวไชเท้ากับเห็ด หูหนู ทั้งดำและขาว  ห้ามรับประทารด้วย กัน จะเป็นโรคผิวหนัง

* * มีนักท่องเที่ยว ชาวจีนวัยเพียง28ปี รายหนึ่ง ตอนมาเที่ยว เมืองไทยได้รับประทานทุเรียนไปจำนวนมาก หลังจากนั้นก็ดื่มน้ำอัดลม สารคาเฟอินในน้ำ อัดลมก่อให้เกิดความ ดันโลหิตสูงขึ้นอย่าง รวดเร็ว ทำให้หัวใจ วายอย่างเฉียบพลัน

+ + ประเทศไทย ได้ออกกฎอย่าง ชัดเจนไว้ว่า ภายใน    8 ชั่วโมงหลังจาก การรับประทานทุเรียน เป็นจำนวนมาก ห้ามดื่ม น้ำอัดลม เป็นอันขาด ! !

* ทุเรียนก่อให้เกิด แก๊สในกระเพาะสูงเลยทีเดียว
...เพื่อชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
 โปรดแชร์ด่วนเพื่อคนไทย

!!!อ า ห า ร ที่ กิ น คู่ กั น . . . อั น ต ร า ย ! !

ด่วน...คู่มรณะ ผลการวิจัยล่าสุดของศาสตราจารย์   Mome Kaowa แห่งสถาบัน Manosatra พบว่า
...:
 !!!อ า ห า ร ที่ กิ น คู่ กั น . . . อั น ต ร า ย ! ! 

1. กินทุเรียนกับ น้ำอัดลม  ให้พิษร้าย มากกว่าพิษงูเห่า!

2. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง  ห้ามรับประทานด้วย กันจะทำให้หูหนวก
...
3. น้ำเต้าหู้  ห้ามใส่ น้ำตาลแดง จะทำให้ เสียวิตามิน

4. มันฝรั่งกับกล้วย ทุกชนิด  ห้าม รับประทานรวมกัน จะทำให้หน้าเป็นฝ้า

5. หัวไชเท้ากับผลไม้ ทุกชนิด  ห้าม รับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดคอพอก

6. กล้วยกับเผือก  ห้ามรับประทานด้วย กัน จะทำให้ท้องอืด

7. บวบ ซือกวย ไชเท้า  ห้ามรับประทานวัน เดียวกัน จะทำให้เป็น เบาหวาน ทำให้เชื้อ อสุจิอ่อนไม่แข็งแรง

8. กล้วย+มะละกอ +แตงโม ห้าม รับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน

9. มังคุดกับน้ำตาล  กินรวมกันจะทำให้เสียชีวิต

10. ผักป๋วยเล้ง  ห้าม รับประทาน กับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง

11. น้ำผึ้ง  ห้ามชงด้วย น้ำที่ร้อนจะทำให้เสีย วิตามิน

12. ส้มกับมะนาว  ห้าม รับประทานด้วยกัน จะทำให้กระเพาะทะลุ

13. ปลาทุกชนิด ห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง

14. ขิงดอง ห้ามเข้า ตู้เย็น กินแล้วจะเป็น โรค มะเร็ง

15. น้ำข้าว ห้ามใส่กับ นม จะทำให้เสียวิตามิน

16.น้ำเต้าหู้กับนมสด ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำ ให้ท้องผูกและเส้นเลือดตีบ

17. ถั่วลิสงกับฟักทอง  ห้ามรับประทานรวม กัน จะทำให้ทำร้าย ร่างกายและลำไส้ อักเสบ

18. มันเทศกับลูกพลับ  ห้ามรับประทานรวม กัน จะทำให้เกิดนิ่ว ในกระเพาะอาหาร

19. เหล้าขาวกับลูก พลับ ห้ามรับประทาน ด้วยกันจะทำให้เป็นพิษ

20. เหล้าขาวกับเบียร์  ห้ามรับประทานด้วย กัน จะทำให้เส้นเลือด ในสมองแตก

21. หัวไชเท้ากับเห็ด หูหนู ทั้งดำและขาว  ห้ามรับประทารด้วย กัน จะเป็นโรคผิวหนัง

* * มีนักท่องเที่ยว ชาวจีนวัยเพียง28ปี รายหนึ่ง ตอนมาเที่ยว เมืองไทยได้รับประทานทุเรียนไปจำนวนมาก หลังจากนั้นก็ดื่มน้ำอัดลม สารคาเฟอินในน้ำ อัดลมก่อให้เกิดความ ดันโลหิตสูงขึ้นอย่าง รวดเร็ว ทำให้หัวใจ วายอย่างเฉียบพลัน

+ + ประเทศไทย ได้ออกกฎอย่าง ชัดเจนไว้ว่า ภายใน    8 ชั่วโมงหลังจาก การรับประทานทุเรียน เป็นจำนวนมาก ห้ามดื่ม น้ำอัดลม เป็นอันขาด ! !

* ทุเรียนก่อให้เกิด แก๊สในกระเพาะสูงเลยทีเดียว
...เพื่อชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
 โปรดแชร์ด่วนเพื่อคนไทย

สนธิ ลิ้มทองกุล เพิ่งตาสว่างหรือไง ว่าเชิญกงจักร ขึ้นบนหัวคนไทยทุกคน??

★สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตร เสื้อเหลือง เหลืออด ออกโรงจวก การทำงานของรัฐบาล คสช. และการเคลื่อนไหวของ " เทพเทือก " บอกสุดสมเพช เวลาเห็นหน้า สุเทพ เทือกสุบรรณ ติ่งสุเทพ ติ่งประยุทธ์ ติ่ง กปปส. ติ่งประชาธิปัตย์
     วันที่ 19 มกราคม 2559 มีรายงานว่า วันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา " เพจเฟซบุ๊ก รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ " ได้นำเอาบทความ ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ และผู้นำกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อ ประชาธิปไตย เขียนถึงเหตุบ้านการเมืองต่าง ๆ มีเนื้อหาน่าสนใจหลายประการ อาทิ การวิพากษ์การทำงาน ของรัฐบาล คสช. รวมถึงการเคลื่อนไหว ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส.
     "คุณสนธิปล่อยความคิด ผ่านมาเป็นตัวอักษร ถึงพี่น้องแฟน ๆ " คุยทุกเรื่องกับสนธิ " มีความคิดเห็น กันอย่างไรฝากความคิดเห็นไว้นะครับ " แอดมินเพจคุยทุกเรื่องกับสนธิ โพสต์ลงเฟซบุ๊ก
     ทั้งนี้ ประเด็นที่นายสนธิ เขียนถึงแฟน ๆ ระบุว่า  ช่วงนี้บรรดาพรรคพวก เพื่อนฝูง น้องนุ่ง ลูกหลาน เวลาอยู่กับผม ไม่ว่าจะเป็นทานข้าวเช้า หรือนั่งสนทนากัน มักจะบ่นว่า หมู่นี้ผมดูเหม่อลอย บางทีนั่งคุยกัน ทั้งโต๊ะ แต่ผมนั่งเงียบ ๆ และไม่ได้ฟังพวกเขา ใจลอยไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คำถามที่จะโดนประจำช่วงนี้ คือ "คิดอะไรอยู่" - "มีอะไรในใจหรือครับ" - "เอาความในใจมาเล่าให้ฟังกันบ้างสิ" ฯลฯ
     นายสนธิ ระบุต่อไปว่า ไม่รู้มันเป็นเพราะช่วงนี้ ปัญหาชาติบ้านเมืองมันเยอะ หรือเป็นเพราะชีวิตผ่านมา มากเหลือเกิน เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา - รอบตัวเรา - ในโลกของเรา และประกอบกับถึงวัย ไม่อยากคุยกับใคร ก็เลยทำให้คิดคนเดียว  ยังดีนะนี่ ที่ได้ปฏิบัติธรรมทุกวัน นั่งภาวนาสมาธิอย่างน้อยวันละ 3 เวลา มันทำให้คิดและปล่อยวางได้ทันที โดยไม่เอาเข้ามารบกวนจิตใจ หรือให้เป็นขยะในใจได้ พยายามรักษาความเป็นประภัสสรของใจ ไม่ให้มัวหมอง
     ลักษณะแบบนี้จะเป็นเรื่อย ๆ ช่วงหลังนี้ ยิ่งเห็นข่าวของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะขายที่ดินของประเทศ ไทย ให้ต่างชาติเป็นเวลา 99 ปี ก็อดคิดถึงวันที่สมคิดตายไปแล้ว แล้วลูกหลานคนไทยก็ไม่มีสิทธิ์ ที่จะทำ อะไรได้นอกจากต้องรับสภาพที่น่าขมขื่น ก็อดคิดถึงในยุคล่าอาณานิคมแล้ว ไทยต้องต่อสู้จนเลือดตาแทบ กระเด็น ในเรื่องของการยกเลิกสิทธินอกอาณาเขต ยุคนั้นบรรพบุรุษไทยสู้เพื่อคนไทยจะได้มีสิทธิเสรีภาพ ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินไทยได้อย่างสง่าผ่าเผย ประวัติศาสตร์ยังไม่ทันจะเลือนลางหายไป

สนธิ ลิ้มทองกุล เพิ่งตาสว่างหรือไง ว่าเชิญกงจักร ขึ้นบนหัวคนไทยทุกคน??

★สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตร เสื้อเหลือง เหลืออด ออกโรงจวก การทำงานของรัฐบาล คสช. และการเคลื่อนไหวของ " เทพเทือก " บอกสุดสมเพช เวลาเห็นหน้า สุเทพ เทือกสุบรรณ ติ่งสุเทพ ติ่งประยุทธ์ ติ่ง กปปส. ติ่งประชาธิปัตย์
     วันที่ 19 มกราคม 2559 มีรายงานว่า วันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา " เพจเฟซบุ๊ก รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ " ได้นำเอาบทความ ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ และผู้นำกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อ ประชาธิปไตย เขียนถึงเหตุบ้านการเมืองต่าง ๆ มีเนื้อหาน่าสนใจหลายประการ อาทิ การวิพากษ์การทำงาน ของรัฐบาล คสช. รวมถึงการเคลื่อนไหว ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส.
     "คุณสนธิปล่อยความคิด ผ่านมาเป็นตัวอักษร ถึงพี่น้องแฟน ๆ " คุยทุกเรื่องกับสนธิ " มีความคิดเห็น กันอย่างไรฝากความคิดเห็นไว้นะครับ " แอดมินเพจคุยทุกเรื่องกับสนธิ โพสต์ลงเฟซบุ๊ก
     ทั้งนี้ ประเด็นที่นายสนธิ เขียนถึงแฟน ๆ ระบุว่า  ช่วงนี้บรรดาพรรคพวก เพื่อนฝูง น้องนุ่ง ลูกหลาน เวลาอยู่กับผม ไม่ว่าจะเป็นทานข้าวเช้า หรือนั่งสนทนากัน มักจะบ่นว่า หมู่นี้ผมดูเหม่อลอย บางทีนั่งคุยกัน ทั้งโต๊ะ แต่ผมนั่งเงียบ ๆ และไม่ได้ฟังพวกเขา ใจลอยไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คำถามที่จะโดนประจำช่วงนี้ คือ "คิดอะไรอยู่" - "มีอะไรในใจหรือครับ" - "เอาความในใจมาเล่าให้ฟังกันบ้างสิ" ฯลฯ
     นายสนธิ ระบุต่อไปว่า ไม่รู้มันเป็นเพราะช่วงนี้ ปัญหาชาติบ้านเมืองมันเยอะ หรือเป็นเพราะชีวิตผ่านมา มากเหลือเกิน เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา - รอบตัวเรา - ในโลกของเรา และประกอบกับถึงวัย ไม่อยากคุยกับใคร ก็เลยทำให้คิดคนเดียว  ยังดีนะนี่ ที่ได้ปฏิบัติธรรมทุกวัน นั่งภาวนาสมาธิอย่างน้อยวันละ 3 เวลา มันทำให้คิดและปล่อยวางได้ทันที โดยไม่เอาเข้ามารบกวนจิตใจ หรือให้เป็นขยะในใจได้ พยายามรักษาความเป็นประภัสสรของใจ ไม่ให้มัวหมอง
     ลักษณะแบบนี้จะเป็นเรื่อย ๆ ช่วงหลังนี้ ยิ่งเห็นข่าวของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะขายที่ดินของประเทศ ไทย ให้ต่างชาติเป็นเวลา 99 ปี ก็อดคิดถึงวันที่สมคิดตายไปแล้ว แล้วลูกหลานคนไทยก็ไม่มีสิทธิ์ ที่จะทำ อะไรได้นอกจากต้องรับสภาพที่น่าขมขื่น ก็อดคิดถึงในยุคล่าอาณานิคมแล้ว ไทยต้องต่อสู้จนเลือดตาแทบ กระเด็น ในเรื่องของการยกเลิกสิทธินอกอาณาเขต ยุคนั้นบรรพบุรุษไทยสู้เพื่อคนไทยจะได้มีสิทธิเสรีภาพ ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินไทยได้อย่างสง่าผ่าเผย ประวัติศาสตร์ยังไม่ทันจะเลือนลางหายไป

สุจิตต์ วงษ์เทศ : สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก (เครดิต มติชนออนไลน์)

http://www.matichon.co.th/news/6289

สุโขทัยเป็นรัฐขนาดเล็กรัฐหนึ่ง มีดินแดนทางทิศใต้แค่เมืองพระบาง (นครสวรรค์) เท่านั้น ดินแดนใต้ลงไปอีกเป็นของรัฐอยุธยาและรัฐสุพรรณภูมิ บริเวณคาบสมุทรเป็นของรัฐมลายูปัตตานี

ฉะนั้นสุโขทัยจึงไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย เพราะก่อนหน้านั้นมีรัฐหลายแห่ง และร่วมสมัยสุโขทัยก็มีรัฐอื่นๆ อีกหลายแห่ง

ที่สำคัญคือรัฐอโยธยา-ละโว้ ที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง สนับสนุนผลักดันให้เกิดรัฐสุโขทัย เพื่อกว้านทรัพยากรภายในส่งให้อโยธยา-ละโว้ค้ากับนานาชาติยุคนั้น

สื่อสารด้วยภาษาไทย เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชอาณาจักรสยามแห่งแรก ย่อมมีไพร่ฟ้าประชาราษฎรเป็นประชาชาติหลายชาติพันธุ์และหลายชาติภาษาตั้งหลักแหล่งอยู่ด้วยกัน แล้วสื่อสารด้วยภาษากลาง คือ ภาษาไทย

ภาษาเขมรเป็นราชาศัพท์ ส่วนราชสำนักกรุงศรีอยุธยายุคแรกเริ่มใช้ภาษาเขมร เพราะเป็นภาษาชั้นสูงสืบต่อมาจากทวารวดีและละโว้ที่ลพบุรี แล้วได้รับยกย่องเป็นราชาศัพท์สืบจนทุกวันนี้

คนไทย เมื่อภาษาไทยเป็นภาษากลาง อย่างน้อยทางการค้าภายใน ภาษาไทยจึงเป็นพลังสำคัญผลักดันทีละน้อยให้มีสำนึกตัวตนความเป็นคนไทยตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา

อักษรไทย ด้วยเหตุที่สื่อสารด้วยภาษาไทย แล้วเรียกตัวเองว่าคนไทย มีคนชั้นปกครองพูดภาษาไทย ฯลฯ จำเป็นต้องมีอักษรของตัวเอง

ส่งผลให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตในราชสำนักลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง (ก่อนยุคกรุงศรีอยุธยา) ยกย่องอักษรเขมร (ที่รู้จักทั่วไปว่าอักษรขอม) เป็นต้นแบบ จึงดัดแปลงเป็นอักษรไทยเขียนลงบนสมุดข่อย อันเป็นเทคโนโลยีก้าวหน้าในยุคนั้น

ขณะเดียวกันก็ยังยกย่องอักษรเขมรเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์สืบต่อมา ใช้เขียนข้อความและเรื่องศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ลงอักขระ และวรรณคดีชั้นสูงของราชสำนัก ฯลฯ แต่เรียกอักษรขอม

อธิบายภาพประกอบ อนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหง จ. สุโขทัย


สุจิตต์ วงษ์เทศ : สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก (เครดิต มติชนออนไลน์)

http://www.matichon.co.th/news/6289

สุโขทัยเป็นรัฐขนาดเล็กรัฐหนึ่ง มีดินแดนทางทิศใต้แค่เมืองพระบาง (นครสวรรค์) เท่านั้น ดินแดนใต้ลงไปอีกเป็นของรัฐอยุธยาและรัฐสุพรรณภูมิ บริเวณคาบสมุทรเป็นของรัฐมลายูปัตตานี

ฉะนั้นสุโขทัยจึงไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย เพราะก่อนหน้านั้นมีรัฐหลายแห่ง และร่วมสมัยสุโขทัยก็มีรัฐอื่นๆ อีกหลายแห่ง

ที่สำคัญคือรัฐอโยธยา-ละโว้ ที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง สนับสนุนผลักดันให้เกิดรัฐสุโขทัย เพื่อกว้านทรัพยากรภายในส่งให้อโยธยา-ละโว้ค้ากับนานาชาติยุคนั้น

สื่อสารด้วยภาษาไทย เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชอาณาจักรสยามแห่งแรก ย่อมมีไพร่ฟ้าประชาราษฎรเป็นประชาชาติหลายชาติพันธุ์และหลายชาติภาษาตั้งหลักแหล่งอยู่ด้วยกัน แล้วสื่อสารด้วยภาษากลาง คือ ภาษาไทย

ภาษาเขมรเป็นราชาศัพท์ ส่วนราชสำนักกรุงศรีอยุธยายุคแรกเริ่มใช้ภาษาเขมร เพราะเป็นภาษาชั้นสูงสืบต่อมาจากทวารวดีและละโว้ที่ลพบุรี แล้วได้รับยกย่องเป็นราชาศัพท์สืบจนทุกวันนี้

คนไทย เมื่อภาษาไทยเป็นภาษากลาง อย่างน้อยทางการค้าภายใน ภาษาไทยจึงเป็นพลังสำคัญผลักดันทีละน้อยให้มีสำนึกตัวตนความเป็นคนไทยตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา

อักษรไทย ด้วยเหตุที่สื่อสารด้วยภาษาไทย แล้วเรียกตัวเองว่าคนไทย มีคนชั้นปกครองพูดภาษาไทย ฯลฯ จำเป็นต้องมีอักษรของตัวเอง

ส่งผลให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตในราชสำนักลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง (ก่อนยุคกรุงศรีอยุธยา) ยกย่องอักษรเขมร (ที่รู้จักทั่วไปว่าอักษรขอม) เป็นต้นแบบ จึงดัดแปลงเป็นอักษรไทยเขียนลงบนสมุดข่อย อันเป็นเทคโนโลยีก้าวหน้าในยุคนั้น

ขณะเดียวกันก็ยังยกย่องอักษรเขมรเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์สืบต่อมา ใช้เขียนข้อความและเรื่องศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ลงอักขระ และวรรณคดีชั้นสูงของราชสำนัก ฯลฯ แต่เรียกอักษรขอม

อธิบายภาพประกอบ อนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหง จ. สุโขทัย


ทางตันของ "ระบอบภูมิพล" กับ ความเสี่ยงของชาติไทย ดร.เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย 20 มกราคม 2559 (มี mp3 ด้วย)


ทางตันของ "ระบอบภูมิพล" กับ ความเสี่ยงของชาติไทย
ดร.เพียงดิน  รักไทย 
ชวนคิดชวนลุย 20 มกราคม  2559  
YouTube

mp3  59 นาที

ทางตันของ "ระบอบภูมิพล" กับ ความเสี่ยงของชาติไทย ดร.เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย 20 มกราคม 2559 (มี mp3 ด้วย)


ทางตันของ "ระบอบภูมิพล" กับ ความเสี่ยงของชาติไทย
ดร.เพียงดิน  รักไทย 
ชวนคิดชวนลุย 20 มกราคม  2559  
YouTube

mp3  59 นาที

ทางตันของ "ระบอบภูมิพล" กับ ความเสี่ยงของชาติไทย ดร.เพียงดิน รักไทย มดแดงล้มช้าง สร้างชาติ ชวนคิดชวนลุย 11:30 น. วันพุธ ที่ 19 มกราคม 2559


ทางตันของ "ระบอบภูมิพล" กับ ความเสี่ยงของชาติไทย
ดร.เพียงดิน รักไทย มดแดงล้มช้าง สร้างชาติ ชวนคิดชวนลุย 11:30 น. วันพุธ ที่ 19 มกราคม 2559
https://youtu.be/2pQyazY0P9A
หรือ
https://www.youtube.com/watch?v=18NA83Cz3Eo
หรือ
https://youtu.be/CjIKwitpstY

----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
http://tinyurl.com/o2rzao8
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

ทางตันของ "ระบอบภูมิพล" กับ ความเสี่ยงของชาติไทย ดร.เพียงดิน รักไทย มดแดงล้มช้าง สร้างชาติ ชวนคิดชวนลุย 11:30 น. วันพุธ ที่ 19 มกราคม 2559


ทางตันของ "ระบอบภูมิพล" กับ ความเสี่ยงของชาติไทย
ดร.เพียงดิน รักไทย มดแดงล้มช้าง สร้างชาติ ชวนคิดชวนลุย 11:30 น. วันพุธ ที่ 19 มกราคม 2559
https://youtu.be/2pQyazY0P9A
หรือ
https://www.youtube.com/watch?v=18NA83Cz3Eo
หรือ
https://youtu.be/CjIKwitpstY

----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
http://tinyurl.com/o2rzao8
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

Tuesday, January 19, 2016

ใครที่คิดจะไปเที่ยวลาว ควรระวัง

ใครที่คิดจะไปเที่ยวลาว ควรระวัง วันก่อนมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในลาว ผ่านด่านช่องเม็ก ขาไปผ่านด่านของลาวเข้าไปแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่สนใจที่จะเรียกดู หรือปั๊มพาสปอร์ตให้ ทำให้คนที่เข้าไป เข้าใจว่าคงไม่ต้องปั้มพาสปอร์ตปรากฏว่าขากลับ โดนจับปรับคนละ 4.000 บาท ข้อหาแอบหนีเข้าเมือง เพราะไม่มีตราปั้มเข้าในพาสปอร์ต กลุ่มเพื่อนผมเข้าไปกัน5คน โดนปรับ5คน2หมื่น สุดท้ายต่อรองเหลือห้าคนรวม10.000บาท หวานคอเจ้าหน้าที่ด่านของลาวไปตามตามกัน เห็นบอกว่าโดนกันเยอะมาก บางคนยื่นพาสปอร์ตให้เขา เขาแค่มองแต่ไม่ปั้มตราให้ ขาออกโดนกันเป็นแถว 
ระวังจะเป็นหมูไทย วิ่งไปชนปังตอลาวเข้าให้ 5555

ใครที่คิดจะไปเที่ยวลาว ควรระวัง

ใครที่คิดจะไปเที่ยวลาว ควรระวัง วันก่อนมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในลาว ผ่านด่านช่องเม็ก ขาไปผ่านด่านของลาวเข้าไปแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่สนใจที่จะเรียกดู หรือปั๊มพาสปอร์ตให้ ทำให้คนที่เข้าไป เข้าใจว่าคงไม่ต้องปั้มพาสปอร์ตปรากฏว่าขากลับ โดนจับปรับคนละ 4.000 บาท ข้อหาแอบหนีเข้าเมือง เพราะไม่มีตราปั้มเข้าในพาสปอร์ต กลุ่มเพื่อนผมเข้าไปกัน5คน โดนปรับ5คน2หมื่น สุดท้ายต่อรองเหลือห้าคนรวม10.000บาท หวานคอเจ้าหน้าที่ด่านของลาวไปตามตามกัน เห็นบอกว่าโดนกันเยอะมาก บางคนยื่นพาสปอร์ตให้เขา เขาแค่มองแต่ไม่ปั้มตราให้ ขาออกโดนกันเป็นแถว 
ระวังจะเป็นหมูไทย วิ่งไปชนปังตอลาวเข้าให้ 5555

ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ ตอน ยิ่งรักษาระบอบราชาฯไว้ ยิ่งเสี่ยงต่อสงครามกลางเมือง

ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ ตอน ยิ่งรักษาระบอบราชาฯไว้ ยิ่งเสี่ยงต่อสงครามกลางเมือง http://www.mediafire.com/listen/0s8400082vsg9ri/chupong-usa2016-1-20.mp3 ตอนที่ 1 ดาว์โหลดเพื่อก่าเผยแพร่
https://www.youtube.com/watch?v=UY_4-XEZ0kg&feature=youtu.be

ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ ตอน ยิ่งรักษาระบอบราชาฯไว้ ยิ่งเสี่ยงต่อสงครามกลางเมือง

ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ ตอน ยิ่งรักษาระบอบราชาฯไว้ ยิ่งเสี่ยงต่อสงครามกลางเมือง http://www.mediafire.com/listen/0s8400082vsg9ri/chupong-usa2016-1-20.mp3 ตอนที่ 1 ดาว์โหลดเพื่อก่าเผยแพร่
https://www.youtube.com/watch?v=UY_4-XEZ0kg&feature=youtu.be

@อย่าก่อสังฆเภท@

ใครสนใจเรื่อง ประวัติโดยสังเขปของความเป็นมาของสงฆ์ 2 นิกายในไทย
ก็อ่านดูนะ เป็นความรู้

@อย่าก่อสังฆเภท@

_____>>คณะสงฆ์เถรวาทในประเทศไทยแต่เดิมเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวกัน  ต่อมาในยุคต้นรัตนโกสินทร์เมื่อได้เกิด "ธรรมยุติกนิกาย" ขึ้นแยกจากคณะสงฆ์เดิม  คณะสงฆ์ไทยแต่เดิมจึงเรียกว่า  "มหานิกาย"

>>ในประเทศศรีลังกาและกัมพูชามีคณะสงฆ์เถรวาทหลายนิกาย  แต่ละนิกายก็มีพระสังฆราชของตนเองปกครอง  เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยที่พระภิกษุนานาสังวาสจะไม่ทำสังฆกรรมร่วมกัน  แต่ในประเทศไทยคงปกครองร่วมกันเพื่อความสามัคคี  

<< ปัจจุบัน >>
  คณะสงฆ์มหานิกายมีวัด  31,890  แห่ง  พระภิกษุ  256,826  รูป
  คณะสงฆ์ธรรมยุติ  มีวัด  1,987  แห่ง พระภิกษุ  33,189  รูป
  โดยเฉลี่ยสัดส่วนของวัดและพระภิกษุของมหานิกายต่อธรรมยุติประมาณ  10:1  

>>เนื่องจากคณะสงฆ์ธรรมยุติถือกำเนิดโดยรัชกาลที่  4  จึงมีความใกล้ชิดกับพระราชวงศ์  และมีสิทธิ์พิเศษหลายอย่าง  เช่น  สมัยที่ยังมีเจ้าคณะภาค  เจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอ   เจ้าคณะตำบล  ตำแหน่งละ  1  รูป  หากเจ้าคณะเหล่านี้เป็นพระภิกษุธรรมยุติจะปกครองวัดมหานิกายในพื้นที่นั้นๆได้  แต่หากเจ้าคณะพื้นที่ใดเป็นพระภิกษุมหานิกาย  ห้ามปกครองวัดธรรมยุติ  ให้ปกครองแต่พระภิกษุและวัดมหานิกายเท่านั้น  ส่วนวัดธรรมยุติจะไปขึ้นตรงกับเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติที่กรุงเทพฯ

>>การถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมนี้สร้างความอึดอัดแก่คณะสงฆ์มหานิกาย แต่ก็กล้ำกลืนฝืนทน  และมาถูกจุดระเบิดขึ้นเมื่อพ.ศ.2494

>> ในขณะนั้น  การปกครองคณะสงฆ์ไทยเป็นไปตามพรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2484  ซึ่งกำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งสังฆนายกคล้ายนายกรัฐมนตรีของสงฆ์  แล้วสังฆนายกแต่งตั้งสังฆมนตรีว่าการองค์การต่างๆ  

>>ในพ.ศ.2494  ตำแหน่งสังฆนายกว่างลง  สมเด็จพระสังฆราช  กรมหลวงวชิรญาณวงศ์  วัดบวรนิเวศวิหาร  แทนที่จะแต่งตั้งสมเด็จปลด  วัดเบญจมบพิตรพระมหาเถระฝ่ายมหานิกาย  ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์  แต่กลับทรงมีพระบัญชาตั้งพระศาสนโสภณ  ซึ่งเป็นพระธรรมยุติด้วยกันเป็นสังฆนายก

>>พระราชาคณะ  47  รูป  ฝ่ายมหานิกายจึงได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงสมเด็จพระสังฆราช  คัดค้านพระบัญชาดังกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว  ส่งผลให้พระศาสนโสภณลาออกจากตำแหน่งสังฆนายก  และสมเด็จพระสังฆราชได้นิมนต์พระเถระฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติประชุมร่วมกัน  ณ  ตำหนักเพชร  วัดบวรนิเวศ  เมื่อวันที่  12  กรกฎาคม  พ.ศ.2494  มีข้อตกลงร่วมกันคือ
__1. การปกครองส่วนกลาง  คงบริหารร่วมกัน  แต่การปกครองบังคับบัญชาให้เป็นไปตามนิกาย
__2.การปกครองส่วนภูมิภาคให้แยกไปตามนิกาย

>>ข้อตกลงนี้เรียกว่า  __"ข้อตกลงตำหนักเพชร 2494"__ ซึ่งรัฐบาลได้รับรองอย่างเป็นทางการด้วย

>>ผลจาก__ข้อตกลงตำหนักเพชร__ทำให้มีตำแหน่งเจ้าคณะภาค  เจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอ  เจ้าคณะตำบล  ตำแหน่งละ  2  รูป  เป็นของพระภิกษุมหานิกายและธรรมยุต แยกขาดจากกัน
จากนั้นสมเด็จพระสังฆราช  ก็ได้มีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จปลด วัดเบญจมบพิตร  เป็นสังฆนายก
 
>>ปัจจุบันการปกครองคณะสงฆ์ตาม พรบ.คณะสงฆ์  2505  แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 กำหนดให้มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์  มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานกรรมการ   และมีกรรมการมหาเถรสมาคมฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต  ฝ่ายละ 10 รูป  รวมเป็น 21 รูป

>>คณะสงฆ์มหานิกายมีมากกว่าคณะสงฆ์ธรรมยุติถึง 8:1 การกำหนดให้มีจำนวนกรรมการมหาเถรสมาคมเท่ากัน  ไม่ยุติธรรม  แต่คณะสงฆ์มหานิกายก็ยอมรับ  เพราะเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของคณะสงฆ์และชาติบ้านเมือง

>>เมื่อดูการดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช  ก็พบว่า  ตั้งแต่ พ.ศ.2453 ถึงปัจจุบัน  มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติรวมระยะเวลา  89 ปี เป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกายรวมระยะเวลา 14 ปี

>>เมื่อพระมหาเถระฝ่ายธรรมยุติได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชอย่างยาวนาน  คณะสงฆ์มหานิกายก็ไม่เคยคัดค้าน

>> แต่บัดนี้เมื่อสมเด็จพระญาณสังวรฯสมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์  ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง  มหาเถรสมาคมได้มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559   เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  วัดปากน้ำ  ภาษีเจริญซึ่งเป็นพระมหาเถระฝ่ายมหานิกายและมีอาวุโสสูงสุดทั้งโดยสมณศักดิ์และโดยพรรษาในบรรดาสมเด็จฯที่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้  เป็นสมเด็จพระสังฆราช 

>>คณะสงฆ์โดยรวมไม่มีปัญหา  สมเด็จพระวันรัต  วัดบวรนิเวศวิหาร  เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติเป็นผู้เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ต่อที่ประชุมเองด้วยซ้ำไป  กรรมการมหาเถรสมาคม  ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นพ้องต้องกัน   สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นปูชนียะที่คณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศให้ความเคารพเป็นอย่างสูง  ถ้าทำตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหา  แต่ปัญหาเกิดเพราะมีกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีจะตะแบงเอาตามใจตัวเอง  เรื่องการปกครองคณะสงฆ์  ไม่ฟังมติมหาเถรสมาคมแล้วจะฟังใคร 

>>คณะสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติกนิกายโดยภาพรวมปัจจุบันก็อยู่ร่วมกันด้วยดี  เอื้อเฟื้อกัน  ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน  แต่ขบวนการชั่วได้หาเรื่องใส่ร้ายโจมตีเจ้าประคุณสมเด็จฯวัดปากน้ำเพื่อ ดิสเครดิตมากมาย  *โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อความสามัคคีของคณะสงฆ์ทั้ง 2 นิกาย*

>>มีคนนำรถเก่าโบราณ 60 ปีก่อนมาถวายสมเด็จฯ  ท่านก็ให้เอาไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์  เพื่อให้ประชาชนที่สนใจมาศึกษาลักษณะรถโบราณ  ท่านไม่ได้เอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว  แต่มีการสร้างวาทกรรมโจมตีว่าท่านครอบครองรถหรูไม่เสียภาษี  รถหรูอะไร  เก่าจนวิ่งออกถนนไม่ได้แล้ว  

>>นอกจากนี้มีกระแสข่าวว่า  จะมีการใช้วิธีทำลายล้างทางการเมืองมาทำลายการคณะสงฆ์  สมคบคิดวางแผนโค่นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์   โดยให้หน่วยราชการต่างๆหาทางจับผิดกลั่นแกล้งสมเด็จฯวัดปากน้ำ  เพื่อให้เป็นข่าวอึกทึกครึกโครม ดิสเครดิตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชให้มัวหมอง อ้างว่ามีมลทินไม่เหมาะสม  แล้วเสนอตั้งสมเด็จฯฝ่ายธรรมยุติเป็นสมเด็จพระสังฆราชแทน

>> มีพระภิกษุธรรมยุติตัวแทนกลุ่มลูกศิษย์หลวงตามหาบัวออกมาคัดค้านการเสนอนามพระมหาเถระฝ่ายมหานิกายเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี  เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2559 รุนแรงหยาบคายถึงขนาดใช้คำว่า  "เอาหมาขี้เรื้อนมาตั้งเป็นสังฆราช  ใครจะไปกราบหมาขี้เรื้อนมันก็รู้อยู่นี่"

**พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงสอนให้พระภิกษุรูปใดด่าเรียกพระภิกษุรูปอื่นว่าเป็น__"หมาขี้เรื้อน"

>>การจาบจ้วงหยามเหยียดอย่างรุนแรงของกลุ่มพระธรรมยุติลูกศิษย์หลวงตามหาบัวครั้งนี้  ได้สะกิดให้ไฟแห่งความคับแค้นใจของคณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศลุกโพลงขึ้นมาอีกครั้ง  คณะสงฆ์มหานิกายทั้งประเทศกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด   หากมีการใช้หน่วยงานราชการไปหาเรื่องจับผิดรังแกสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์   วัดปากน้ำ  ภาษีเจริญ  ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชจริง  ก็เท่ากับเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ   ซึ่งจะทวีดีกรีความร้อนแรงจนอาจจะแผดเผาสังฆมณฑลให้มอดมิดเป็นจุณไปก็ได้  สังคมไทยจะแตกแยกลึกซึ้งจนถึงแก่น  และจะส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อทุกสถาบันในสังคมไทย  จนอาจจะไม่เหลือสถาบันใดๆ  ให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยต่อไปอีกเลย

>>คณะสงฆ์กลุ่มลูกศิษย์หลวงตามหาบัว  มีจำนวนราว  5%  ของคณะสงฆ์ธรรมยุติ หรือราว 0.5% ของคณะสงฆ์ทั่วประเทศ  และกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวนี้เป็นเพียงบางส่วนของลูกศิษย์หลวงตามหาบัวเท่านั้น  เป็นกลุ่มที่ถือความเห็นตนเป็นใหญ่  แม้คณะสงฆ์ธรรมยุติเองก็ปกครองไม่ค่อยได้

>>ให้รัฐบาลตัดสินใจว่า  จะเลือกคณะสงฆ์ส่วนรวม 99 % ของประเทศไทยโดยทำหน้าที่ตามกฎหมาย  หรือจะเลือกคณะสงฆ์จำนวนไม่กี่รูปไม่ถึง 1% ของประเทศโดยใช้กฎหมู่  คณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศจับตาดูอยู่  

>>ขอให้รัฐบาลกำชับหน่วยงานราชการ__**อย่าตกเป็นเครื่องมือของขบวนการชั่วร้าย**__  ที่มุ่งทำลายคณะสงฆ์มหานิกาย  อย่าเล่นกับไฟ หากมีการดำเนินการใดๆไปสู่การนำเสนอแต่งตั้งสมเด็จฯฝ่ายธรรมยุติเป็นสมเด็จพระสังฆราช  โดยไม่เสนอสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  หรือดองเรื่องถ่วงเวลา   ก็อาจถึงเวลาที่คณะสงฆ์ไทยจะได้กระทำตามพระธรรมวินัย  ตามหลักนานาสังวาส  มีสมเด็จพระสังฆราชของคณะสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติแยกขาดจากกัน  ส่วนคณะสงฆ์ลูกศิษย์หลวงตาบัวบางส่วน  จะทำสังฆเภทแยกการปกครองออกจากคณะธรรมยุติกนิกาย  มีสังฆราชของตนเองหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา
18/1/59

@อย่าก่อสังฆเภท@

ใครสนใจเรื่อง ประวัติโดยสังเขปของความเป็นมาของสงฆ์ 2 นิกายในไทย
ก็อ่านดูนะ เป็นความรู้

@อย่าก่อสังฆเภท@

_____>>คณะสงฆ์เถรวาทในประเทศไทยแต่เดิมเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวกัน  ต่อมาในยุคต้นรัตนโกสินทร์เมื่อได้เกิด "ธรรมยุติกนิกาย" ขึ้นแยกจากคณะสงฆ์เดิม  คณะสงฆ์ไทยแต่เดิมจึงเรียกว่า  "มหานิกาย"

>>ในประเทศศรีลังกาและกัมพูชามีคณะสงฆ์เถรวาทหลายนิกาย  แต่ละนิกายก็มีพระสังฆราชของตนเองปกครอง  เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยที่พระภิกษุนานาสังวาสจะไม่ทำสังฆกรรมร่วมกัน  แต่ในประเทศไทยคงปกครองร่วมกันเพื่อความสามัคคี  

<< ปัจจุบัน >>
  คณะสงฆ์มหานิกายมีวัด  31,890  แห่ง  พระภิกษุ  256,826  รูป
  คณะสงฆ์ธรรมยุติ  มีวัด  1,987  แห่ง พระภิกษุ  33,189  รูป
  โดยเฉลี่ยสัดส่วนของวัดและพระภิกษุของมหานิกายต่อธรรมยุติประมาณ  10:1  

>>เนื่องจากคณะสงฆ์ธรรมยุติถือกำเนิดโดยรัชกาลที่  4  จึงมีความใกล้ชิดกับพระราชวงศ์  และมีสิทธิ์พิเศษหลายอย่าง  เช่น  สมัยที่ยังมีเจ้าคณะภาค  เจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอ   เจ้าคณะตำบล  ตำแหน่งละ  1  รูป  หากเจ้าคณะเหล่านี้เป็นพระภิกษุธรรมยุติจะปกครองวัดมหานิกายในพื้นที่นั้นๆได้  แต่หากเจ้าคณะพื้นที่ใดเป็นพระภิกษุมหานิกาย  ห้ามปกครองวัดธรรมยุติ  ให้ปกครองแต่พระภิกษุและวัดมหานิกายเท่านั้น  ส่วนวัดธรรมยุติจะไปขึ้นตรงกับเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติที่กรุงเทพฯ

>>การถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมนี้สร้างความอึดอัดแก่คณะสงฆ์มหานิกาย แต่ก็กล้ำกลืนฝืนทน  และมาถูกจุดระเบิดขึ้นเมื่อพ.ศ.2494

>> ในขณะนั้น  การปกครองคณะสงฆ์ไทยเป็นไปตามพรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2484  ซึ่งกำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งสังฆนายกคล้ายนายกรัฐมนตรีของสงฆ์  แล้วสังฆนายกแต่งตั้งสังฆมนตรีว่าการองค์การต่างๆ  

>>ในพ.ศ.2494  ตำแหน่งสังฆนายกว่างลง  สมเด็จพระสังฆราช  กรมหลวงวชิรญาณวงศ์  วัดบวรนิเวศวิหาร  แทนที่จะแต่งตั้งสมเด็จปลด  วัดเบญจมบพิตรพระมหาเถระฝ่ายมหานิกาย  ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์  แต่กลับทรงมีพระบัญชาตั้งพระศาสนโสภณ  ซึ่งเป็นพระธรรมยุติด้วยกันเป็นสังฆนายก

>>พระราชาคณะ  47  รูป  ฝ่ายมหานิกายจึงได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงสมเด็จพระสังฆราช  คัดค้านพระบัญชาดังกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว  ส่งผลให้พระศาสนโสภณลาออกจากตำแหน่งสังฆนายก  และสมเด็จพระสังฆราชได้นิมนต์พระเถระฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติประชุมร่วมกัน  ณ  ตำหนักเพชร  วัดบวรนิเวศ  เมื่อวันที่  12  กรกฎาคม  พ.ศ.2494  มีข้อตกลงร่วมกันคือ
__1. การปกครองส่วนกลาง  คงบริหารร่วมกัน  แต่การปกครองบังคับบัญชาให้เป็นไปตามนิกาย
__2.การปกครองส่วนภูมิภาคให้แยกไปตามนิกาย

>>ข้อตกลงนี้เรียกว่า  __"ข้อตกลงตำหนักเพชร 2494"__ ซึ่งรัฐบาลได้รับรองอย่างเป็นทางการด้วย

>>ผลจาก__ข้อตกลงตำหนักเพชร__ทำให้มีตำแหน่งเจ้าคณะภาค  เจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอ  เจ้าคณะตำบล  ตำแหน่งละ  2  รูป  เป็นของพระภิกษุมหานิกายและธรรมยุต แยกขาดจากกัน
จากนั้นสมเด็จพระสังฆราช  ก็ได้มีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จปลด วัดเบญจมบพิตร  เป็นสังฆนายก
 
>>ปัจจุบันการปกครองคณะสงฆ์ตาม พรบ.คณะสงฆ์  2505  แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 กำหนดให้มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์  มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานกรรมการ   และมีกรรมการมหาเถรสมาคมฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต  ฝ่ายละ 10 รูป  รวมเป็น 21 รูป

>>คณะสงฆ์มหานิกายมีมากกว่าคณะสงฆ์ธรรมยุติถึง 8:1 การกำหนดให้มีจำนวนกรรมการมหาเถรสมาคมเท่ากัน  ไม่ยุติธรรม  แต่คณะสงฆ์มหานิกายก็ยอมรับ  เพราะเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของคณะสงฆ์และชาติบ้านเมือง

>>เมื่อดูการดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช  ก็พบว่า  ตั้งแต่ พ.ศ.2453 ถึงปัจจุบัน  มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติรวมระยะเวลา  89 ปี เป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกายรวมระยะเวลา 14 ปี

>>เมื่อพระมหาเถระฝ่ายธรรมยุติได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชอย่างยาวนาน  คณะสงฆ์มหานิกายก็ไม่เคยคัดค้าน

>> แต่บัดนี้เมื่อสมเด็จพระญาณสังวรฯสมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์  ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง  มหาเถรสมาคมได้มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559   เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  วัดปากน้ำ  ภาษีเจริญซึ่งเป็นพระมหาเถระฝ่ายมหานิกายและมีอาวุโสสูงสุดทั้งโดยสมณศักดิ์และโดยพรรษาในบรรดาสมเด็จฯที่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้  เป็นสมเด็จพระสังฆราช 

>>คณะสงฆ์โดยรวมไม่มีปัญหา  สมเด็จพระวันรัต  วัดบวรนิเวศวิหาร  เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติเป็นผู้เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ต่อที่ประชุมเองด้วยซ้ำไป  กรรมการมหาเถรสมาคม  ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นพ้องต้องกัน   สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นปูชนียะที่คณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศให้ความเคารพเป็นอย่างสูง  ถ้าทำตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหา  แต่ปัญหาเกิดเพราะมีกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีจะตะแบงเอาตามใจตัวเอง  เรื่องการปกครองคณะสงฆ์  ไม่ฟังมติมหาเถรสมาคมแล้วจะฟังใคร 

>>คณะสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติกนิกายโดยภาพรวมปัจจุบันก็อยู่ร่วมกันด้วยดี  เอื้อเฟื้อกัน  ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน  แต่ขบวนการชั่วได้หาเรื่องใส่ร้ายโจมตีเจ้าประคุณสมเด็จฯวัดปากน้ำเพื่อ ดิสเครดิตมากมาย  *โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อความสามัคคีของคณะสงฆ์ทั้ง 2 นิกาย*

>>มีคนนำรถเก่าโบราณ 60 ปีก่อนมาถวายสมเด็จฯ  ท่านก็ให้เอาไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์  เพื่อให้ประชาชนที่สนใจมาศึกษาลักษณะรถโบราณ  ท่านไม่ได้เอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว  แต่มีการสร้างวาทกรรมโจมตีว่าท่านครอบครองรถหรูไม่เสียภาษี  รถหรูอะไร  เก่าจนวิ่งออกถนนไม่ได้แล้ว  

>>นอกจากนี้มีกระแสข่าวว่า  จะมีการใช้วิธีทำลายล้างทางการเมืองมาทำลายการคณะสงฆ์  สมคบคิดวางแผนโค่นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์   โดยให้หน่วยราชการต่างๆหาทางจับผิดกลั่นแกล้งสมเด็จฯวัดปากน้ำ  เพื่อให้เป็นข่าวอึกทึกครึกโครม ดิสเครดิตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชให้มัวหมอง อ้างว่ามีมลทินไม่เหมาะสม  แล้วเสนอตั้งสมเด็จฯฝ่ายธรรมยุติเป็นสมเด็จพระสังฆราชแทน

>> มีพระภิกษุธรรมยุติตัวแทนกลุ่มลูกศิษย์หลวงตามหาบัวออกมาคัดค้านการเสนอนามพระมหาเถระฝ่ายมหานิกายเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี  เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2559 รุนแรงหยาบคายถึงขนาดใช้คำว่า  "เอาหมาขี้เรื้อนมาตั้งเป็นสังฆราช  ใครจะไปกราบหมาขี้เรื้อนมันก็รู้อยู่นี่"

**พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงสอนให้พระภิกษุรูปใดด่าเรียกพระภิกษุรูปอื่นว่าเป็น__"หมาขี้เรื้อน"

>>การจาบจ้วงหยามเหยียดอย่างรุนแรงของกลุ่มพระธรรมยุติลูกศิษย์หลวงตามหาบัวครั้งนี้  ได้สะกิดให้ไฟแห่งความคับแค้นใจของคณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศลุกโพลงขึ้นมาอีกครั้ง  คณะสงฆ์มหานิกายทั้งประเทศกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด   หากมีการใช้หน่วยงานราชการไปหาเรื่องจับผิดรังแกสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์   วัดปากน้ำ  ภาษีเจริญ  ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชจริง  ก็เท่ากับเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ   ซึ่งจะทวีดีกรีความร้อนแรงจนอาจจะแผดเผาสังฆมณฑลให้มอดมิดเป็นจุณไปก็ได้  สังคมไทยจะแตกแยกลึกซึ้งจนถึงแก่น  และจะส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อทุกสถาบันในสังคมไทย  จนอาจจะไม่เหลือสถาบันใดๆ  ให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยต่อไปอีกเลย

>>คณะสงฆ์กลุ่มลูกศิษย์หลวงตามหาบัว  มีจำนวนราว  5%  ของคณะสงฆ์ธรรมยุติ หรือราว 0.5% ของคณะสงฆ์ทั่วประเทศ  และกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวนี้เป็นเพียงบางส่วนของลูกศิษย์หลวงตามหาบัวเท่านั้น  เป็นกลุ่มที่ถือความเห็นตนเป็นใหญ่  แม้คณะสงฆ์ธรรมยุติเองก็ปกครองไม่ค่อยได้

>>ให้รัฐบาลตัดสินใจว่า  จะเลือกคณะสงฆ์ส่วนรวม 99 % ของประเทศไทยโดยทำหน้าที่ตามกฎหมาย  หรือจะเลือกคณะสงฆ์จำนวนไม่กี่รูปไม่ถึง 1% ของประเทศโดยใช้กฎหมู่  คณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศจับตาดูอยู่  

>>ขอให้รัฐบาลกำชับหน่วยงานราชการ__**อย่าตกเป็นเครื่องมือของขบวนการชั่วร้าย**__  ที่มุ่งทำลายคณะสงฆ์มหานิกาย  อย่าเล่นกับไฟ หากมีการดำเนินการใดๆไปสู่การนำเสนอแต่งตั้งสมเด็จฯฝ่ายธรรมยุติเป็นสมเด็จพระสังฆราช  โดยไม่เสนอสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  หรือดองเรื่องถ่วงเวลา   ก็อาจถึงเวลาที่คณะสงฆ์ไทยจะได้กระทำตามพระธรรมวินัย  ตามหลักนานาสังวาส  มีสมเด็จพระสังฆราชของคณะสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติแยกขาดจากกัน  ส่วนคณะสงฆ์ลูกศิษย์หลวงตาบัวบางส่วน  จะทำสังฆเภทแยกการปกครองออกจากคณะธรรมยุติกนิกาย  มีสังฆราชของตนเองหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา
18/1/59

For Immediate Release US/ASEAN: Make Rights Central to Summit Obama Should Press Leaders to End Repression and Abuses

For Immediate Release
 
Obama Should Press Leaders to End Repression and Abuses

(Washington, DC, January 19, 2015) – United States President Barack Obama should ensure that human rights are a central focus in the upcoming summit of Southeast Asian leaders in the US, Human Rights Watch said today in a letter to Obama. Obama is scheduled to host the leaders of the 10-country Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) on February 15-16, 2016, at the Sunnylands estate in California.

"ASEAN's many authoritarian leaders include people implicated in grievous human rights abuses, war crimes, and coups d'etat that would make them ineligible for US visas if they weren't heads of government," said
John Sifton, Asia advocacy director at Human Rights Watch. "The summit risks empowering and even emboldening ASEAN's abusive leaders unless President Obama emphasizes human rights issues and invites the participation of civil society groups."

Human Rights Watch urged Obama to hold sessions around the summit in which governments hear directly from leaders of civil society, human rights, and environmental groups, as occurred during the August 2014 US-Africa Summit in Washington, DC.

Obama should also communicate to ASEAN governments that they should, ahead of the summit, release significant numbers of political prisoners and drop charges against those facing politically motivated prosecutions – or expect those issues to be raised publicly at the summit.

One of the ASEAN leaders, Prime Minister Hun Sen of Cambodia, has ruled over Cambodia for
more than 30 years, using violence, intimidation, and politically motivated arrests and prosecutions against all perceived opponents, while allowing high-level corruption and cronyism to flourish. He refused to step down after losing an election in 1993, and subsequently carried out a coup in 1997. He is also implicated in possible crimes against humanity committed in the mid-1970s in eastern Cambodia when he was a commander in the Khmer Rouge. The latest election in 2013 was fundamentally flawed and the opposition leader, Sam Rainsy, is now living in exile to avoid arrest in politically motivated cases. Because of his dismal human rights record, it has long been US policy not to offer an official invitation to visit the US to Hun Sen.

Other ASEAN leaders expected to attend include four unelected heads of government.
Thailand's Prime Minister Gen. Prayut Chan-ocha, who took power in a 2014 military coup, has presided over a relentless crackdown on peaceful dissent and assembly. Prime Minister Nguyen Tan Dung of Vietnam and President Choummaly Sayasone of Laos preside over one-party authoritarian states that deny basic freedoms and use censorship, intimidation, and torture to maintain their party's hold on power. The sultan of Brunei, Hassal Bolkiah, one of the world's few remaining hereditary government leaders, has imposed a near complete ban on freedoms of expression, association, and assembly.

The prime minister of
Malaysia, Najib Razak, implicated in a massive corruption scandal, has engaged in a major crackdown on the political opposition, civil society groups, and the media, including imprisoning opposition leader Anwar Ibrahim on trumped-up charges.

"President Obama shouldn't be rewarding abusive leaders with the prestige of a summit in the US," Sifton said. "Inviting to the US people who dismantle democracies or systematically repress their own people sends the wrong message to the world about the US government's respect for basic rights and freedoms."

Human rights issues especially relevant to ASEAN countries include the lack of free and fair elections; excessive restrictions on freedoms of expression, association, and assembly; unnecessary restrictions on civil society groups; abuses against human rights defenders and other activists; women's rights; political use of courts; high-level corruption; lack of protections of refugees and asylum seekers; human trafficking; and the rights of lesbian, gay, bisexual, and transgender (LGBT) people.

"The US government's diplomatic 'rebalance' to Asia could still bring positive change if human rights and democracy are raised to the same level as other US priorities in the region," Sifton said. "Obama should make it publicly clear to ASEAN leaders that he plans to make human rights issues a central part of the summit."

For more information, please contact:
In Washington, DC, Sarah Margon (English): +1-917-361-2098 (mobile); or
margons@hrw.org. Twitter: @sarahmargon
In Washington, DC, John Sifton (English): +1-646-479-2499 (mobile); or siftonj@hrw.org. Twitter: @johnsifton
In Bangkok, Phil Robertson, (English, Thai): +66-85-060-8406 (mobile); or robertp@hrw.org. Twitter: @Reaproy
 

For Immediate Release US/ASEAN: Make Rights Central to Summit Obama Should Press Leaders to End Repression and Abuses

For Immediate Release
 
Obama Should Press Leaders to End Repression and Abuses

(Washington, DC, January 19, 2015) – United States President Barack Obama should ensure that human rights are a central focus in the upcoming summit of Southeast Asian leaders in the US, Human Rights Watch said today in a letter to Obama. Obama is scheduled to host the leaders of the 10-country Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) on February 15-16, 2016, at the Sunnylands estate in California.

"ASEAN's many authoritarian leaders include people implicated in grievous human rights abuses, war crimes, and coups d'etat that would make them ineligible for US visas if they weren't heads of government," said
John Sifton, Asia advocacy director at Human Rights Watch. "The summit risks empowering and even emboldening ASEAN's abusive leaders unless President Obama emphasizes human rights issues and invites the participation of civil society groups."

Human Rights Watch urged Obama to hold sessions around the summit in which governments hear directly from leaders of civil society, human rights, and environmental groups, as occurred during the August 2014 US-Africa Summit in Washington, DC.

Obama should also communicate to ASEAN governments that they should, ahead of the summit, release significant numbers of political prisoners and drop charges against those facing politically motivated prosecutions – or expect those issues to be raised publicly at the summit.

One of the ASEAN leaders, Prime Minister Hun Sen of Cambodia, has ruled over Cambodia for
more than 30 years, using violence, intimidation, and politically motivated arrests and prosecutions against all perceived opponents, while allowing high-level corruption and cronyism to flourish. He refused to step down after losing an election in 1993, and subsequently carried out a coup in 1997. He is also implicated in possible crimes against humanity committed in the mid-1970s in eastern Cambodia when he was a commander in the Khmer Rouge. The latest election in 2013 was fundamentally flawed and the opposition leader, Sam Rainsy, is now living in exile to avoid arrest in politically motivated cases. Because of his dismal human rights record, it has long been US policy not to offer an official invitation to visit the US to Hun Sen.

Other ASEAN leaders expected to attend include four unelected heads of government.
Thailand's Prime Minister Gen. Prayut Chan-ocha, who took power in a 2014 military coup, has presided over a relentless crackdown on peaceful dissent and assembly. Prime Minister Nguyen Tan Dung of Vietnam and President Choummaly Sayasone of Laos preside over one-party authoritarian states that deny basic freedoms and use censorship, intimidation, and torture to maintain their party's hold on power. The sultan of Brunei, Hassal Bolkiah, one of the world's few remaining hereditary government leaders, has imposed a near complete ban on freedoms of expression, association, and assembly.

The prime minister of
Malaysia, Najib Razak, implicated in a massive corruption scandal, has engaged in a major crackdown on the political opposition, civil society groups, and the media, including imprisoning opposition leader Anwar Ibrahim on trumped-up charges.

"President Obama shouldn't be rewarding abusive leaders with the prestige of a summit in the US," Sifton said. "Inviting to the US people who dismantle democracies or systematically repress their own people sends the wrong message to the world about the US government's respect for basic rights and freedoms."

Human rights issues especially relevant to ASEAN countries include the lack of free and fair elections; excessive restrictions on freedoms of expression, association, and assembly; unnecessary restrictions on civil society groups; abuses against human rights defenders and other activists; women's rights; political use of courts; high-level corruption; lack of protections of refugees and asylum seekers; human trafficking; and the rights of lesbian, gay, bisexual, and transgender (LGBT) people.

"The US government's diplomatic 'rebalance' to Asia could still bring positive change if human rights and democracy are raised to the same level as other US priorities in the region," Sifton said. "Obama should make it publicly clear to ASEAN leaders that he plans to make human rights issues a central part of the summit."

For more information, please contact:
In Washington, DC, Sarah Margon (English): +1-917-361-2098 (mobile); or
margons@hrw.org. Twitter: @sarahmargon
In Washington, DC, John Sifton (English): +1-646-479-2499 (mobile); or siftonj@hrw.org. Twitter: @johnsifton
In Bangkok, Phil Robertson, (English, Thai): +66-85-060-8406 (mobile); or robertp@hrw.org. Twitter: @Reaproy
 

ไฟแดง ปรองดอง

ไฟแดง  ปรองดอง





คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

พลุปรองดองทำท่าจะสวยงามตามท้องเรื่อง เมื่อมีการหยิบเรื่องเก่าขึ้นมารีวิวใหม่ โดยครั้งนี้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น "สร้างสันติสุข" ซึ่งเสนอโดย พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ขันอาสาเป็นหัวหอกผลักดันให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข มีเป้าหมายคือจับคู่ขัดแย้งทุกสีเสื้อมาเคลียร์ใจให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

หลังจุดพลุขึ้นฟ้า มีการรับลูกกันเป็นทอดๆ ตั้งแต่มือกฎหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่าง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่เดินเครื่องชงเรื่องให้มีการตั้งทีมศึกษาการสร้างความปรองดองให้ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งไม้ต่อให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย นายวิษณุ เครืองาม รับไปศึกษา

ขณะที่ประธาน สนช. อย่าง นายพรเพชร วิชิตชลชัย เตรียมพร้อมตั้ง กมธ. เสริมสร้างสังคมสันติสุข แต่แล้วก็ต้องสะดุดลงตั้งแต่ยังไม่ทันตั้งไข่ เพราะท้ายสุดเรื่องตั้ง กมธ. ศึกษาการเสริมสร้างสังคมสันติสุขก็ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจาก "บิ๊กตู่" ผู้มีอำนาจสูงสุด ส่งสัญญาณเบรกว่ายังไม่ถึงเวลา

งานนี้ทำเอาโปรเจกต์ใหญ่เข้าอีหรอบเดิม คือพับแผนปรองดองเก็บเข้าลิ้นชักอีกรอบ

ขณะที่ขั้วการเมือง คู่ขัดแย้ง ต่างฟันธงกันล่วงหน้าไปแล้วว่าปรองดองไปไม่รอด เพราะเป็นแค่โรงงิ้ว โรงลิเก เป็นเกมปาหี่ซื้อเวลาก็เท่านั้นเอง

ไม่ว่าจะเป็น นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ออกมาเตือนแกนนำเสื้อแดง อย่าอ้างเป็นตัวแทน นปช. ร่วมนั่ง กมธ. สันติสุข และระวังน่าอาย หน้าแตก เพราะไม่มีผลใดๆในทางปฏิบัติ พร้อมกับประกาศจุดยืนไม่รับตำแหน่ง ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ ทุกตำแหน่ง

ฝากพรรคประชาธิปัตย์ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคยืนยันว่า พรรคจะไม่ส่งคนเข้าร่วม ถ้าใครได้รับการติดต่อคงต้องไปในนามส่วนตัว แต่เชื่อว่าไม่มีใครไปร่วม ด้วยเหตุผล กมธ. วิสามัญชุดดังกล่าว อาจพูดคุยเรื่องนิรโทษกรรมที่พรรคคัดค้านมาแต่ต้น

ไม่ต่างจาก นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ตอกย้ำความล้มเหลวของรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะ "บิ๊กตู่" ไว้ว่า ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ปรากฏว่ามีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง กระบวนการปรองดองยังไม่เริ่มต้นขึ้น ไม่มีการรวบรวมองค์ความรู้ ประสบการณ์ ความคิดเห็นการปรองดอง ที่มีการศึกษามาในอดีต แสดงให้เห็นว่า คสช. และรัฐบาล ไม่ได้ใส่ใจอยากปรองดองอย่างที่กล่าวอ้างเป็นสาเหตุเข้าสู่อำนาจ แถมนายกรัฐมนตรีไม่เข้าใจกระบวนการปรองดองและไม่พยายามรับฟังความเห็นฝ่ายต่างๆอีกด้วย

เมื่อจับสัญญาณที่ถูกส่งออกมาจากทุกฝ่าย ทำให้เห็นชัดว่า ยังไม่ถึงเวลาของการสร้างความปรองดอง ที่เป็นอย่างนี้เพราะแต่ละฝ่ายตีความหมายของคำว่า "ปรองดอง" แตกต่างกัน เมื่อตีความแตกต่างกัน ทิศทางและเป้าหมายของสร้างความปรองดองจึงต่างกัน

การสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ชาติจึงยังมองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์

     อาสาหาข่าว
      19/1/59

ไฟแดง ปรองดอง

ไฟแดง  ปรองดอง





คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

พลุปรองดองทำท่าจะสวยงามตามท้องเรื่อง เมื่อมีการหยิบเรื่องเก่าขึ้นมารีวิวใหม่ โดยครั้งนี้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น "สร้างสันติสุข" ซึ่งเสนอโดย พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ขันอาสาเป็นหัวหอกผลักดันให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข มีเป้าหมายคือจับคู่ขัดแย้งทุกสีเสื้อมาเคลียร์ใจให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

หลังจุดพลุขึ้นฟ้า มีการรับลูกกันเป็นทอดๆ ตั้งแต่มือกฎหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่าง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่เดินเครื่องชงเรื่องให้มีการตั้งทีมศึกษาการสร้างความปรองดองให้ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งไม้ต่อให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย นายวิษณุ เครืองาม รับไปศึกษา

ขณะที่ประธาน สนช. อย่าง นายพรเพชร วิชิตชลชัย เตรียมพร้อมตั้ง กมธ. เสริมสร้างสังคมสันติสุข แต่แล้วก็ต้องสะดุดลงตั้งแต่ยังไม่ทันตั้งไข่ เพราะท้ายสุดเรื่องตั้ง กมธ. ศึกษาการเสริมสร้างสังคมสันติสุขก็ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจาก "บิ๊กตู่" ผู้มีอำนาจสูงสุด ส่งสัญญาณเบรกว่ายังไม่ถึงเวลา

งานนี้ทำเอาโปรเจกต์ใหญ่เข้าอีหรอบเดิม คือพับแผนปรองดองเก็บเข้าลิ้นชักอีกรอบ

ขณะที่ขั้วการเมือง คู่ขัดแย้ง ต่างฟันธงกันล่วงหน้าไปแล้วว่าปรองดองไปไม่รอด เพราะเป็นแค่โรงงิ้ว โรงลิเก เป็นเกมปาหี่ซื้อเวลาก็เท่านั้นเอง

ไม่ว่าจะเป็น นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ออกมาเตือนแกนนำเสื้อแดง อย่าอ้างเป็นตัวแทน นปช. ร่วมนั่ง กมธ. สันติสุข และระวังน่าอาย หน้าแตก เพราะไม่มีผลใดๆในทางปฏิบัติ พร้อมกับประกาศจุดยืนไม่รับตำแหน่ง ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ ทุกตำแหน่ง

ฝากพรรคประชาธิปัตย์ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคยืนยันว่า พรรคจะไม่ส่งคนเข้าร่วม ถ้าใครได้รับการติดต่อคงต้องไปในนามส่วนตัว แต่เชื่อว่าไม่มีใครไปร่วม ด้วยเหตุผล กมธ. วิสามัญชุดดังกล่าว อาจพูดคุยเรื่องนิรโทษกรรมที่พรรคคัดค้านมาแต่ต้น

ไม่ต่างจาก นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ตอกย้ำความล้มเหลวของรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะ "บิ๊กตู่" ไว้ว่า ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ปรากฏว่ามีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง กระบวนการปรองดองยังไม่เริ่มต้นขึ้น ไม่มีการรวบรวมองค์ความรู้ ประสบการณ์ ความคิดเห็นการปรองดอง ที่มีการศึกษามาในอดีต แสดงให้เห็นว่า คสช. และรัฐบาล ไม่ได้ใส่ใจอยากปรองดองอย่างที่กล่าวอ้างเป็นสาเหตุเข้าสู่อำนาจ แถมนายกรัฐมนตรีไม่เข้าใจกระบวนการปรองดองและไม่พยายามรับฟังความเห็นฝ่ายต่างๆอีกด้วย

เมื่อจับสัญญาณที่ถูกส่งออกมาจากทุกฝ่าย ทำให้เห็นชัดว่า ยังไม่ถึงเวลาของการสร้างความปรองดอง ที่เป็นอย่างนี้เพราะแต่ละฝ่ายตีความหมายของคำว่า "ปรองดอง" แตกต่างกัน เมื่อตีความแตกต่างกัน ทิศทางและเป้าหมายของสร้างความปรองดองจึงต่างกัน

การสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ชาติจึงยังมองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์

     อาสาหาข่าว
      19/1/59

ปีศาจเฉพาะกาล โดย น.พ.สมเกียรติ ธาตรีธร

ปีศาจเฉพาะกาล

โดย น.พ.สมเกียรติ ธาตรีธร


เมื่อ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา มีงานรำลึกถึง คุณเสนีย์ เสาวพงศ์ ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ที่ได้ข่าวว่ามีทหารมาขอทราบรายละเอียดและขอเข้าร่วมด้วย บรรยากาศในงานมีความคึกคักแบบปัญญาชนทางด้านสังคม ทหารที่มาสังเกตการณ์คงไม่ได้ข้อมูลอะไรที่ต้องทำการเคลื่อนไหวหลังงาน

ในงานมีคำถามคำตอบที่น่าสนใจคำถามหนึ่งคือ ในนิยายเรื่องปีศาจใครเป็นปีศาจตัวจริง และมีการเฉลยว่าคือรัชนี นางเอกในเรื่อง ผู้ซึ่งเป็นกบฏต่อชนชั้นของตัวเองเข้าร่วมทางและร่วมชีวิตกับสาย สีมา โดยไม่มีแม้แต่กระเป๋าเสื้อผ้าติดตัวมา 

ตัวสาย สีมา นั้นแม้จะเป็นปีศาจด้วยแน่นอน แต่ก็ยังสังกัดอยู่ในชนชั้นของตัวเอง ได้เผชิญกับแรงกดดันทางชนชั้นและได้รับความเจ็บปวดจากแรงกดดันนั้น แต่รัชนีไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันโดยตรงอย่างสาย สีมา เพียงได้รับรู้ ได้เห็น และรู้สึกคล้อยตามสาย สีมา ที่มีปฏิกิริยาต่อความไม่ถูกต้องเป็นธรรมที่เกิดจากแรงกดดัน ก็ถึงกับยอมสละสถานะทางชนชั้นเข้าร่วมทางกับสาย สีมา

สำหรับผู้สนใจพัฒนาการทางสังคมและนักอ่านนิยายที่สะท้อนปัญหาสังคม ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นได้รับรู้และซาบซึ้งเรื่องราวของทั้งบุคคลจริง และตัวละครในนิยายที่เป็นกบฏต่อชนชั้นของผู้ได้เปรียบที่ตัวเองสังกัดอยู่ เข้าร่วมทาง หรือบางครั้งเข้าต่อสู้ร่วมกับชนชั้นล่างผู้เสียเปรียบอยู่เสมอ

คนเหล่านั้นย่อมต้องเป็นปีศาจตามนัยยะของนิยายเรื่องปีศาจเช่นเดียวกับรัชนี

เมื่อยึดคำจำกัดความของปีศาจว่าคือคนผู้เป็นกบฏต่อชนชั้นตัวเองไปเข้ากับชนชั้นตรงข้าม ในปัจจุบันมีปีศาจตามนัยยะเดียวกันแต่สวนทางอยู่ไม่น้อย 

เป็นปีศาจที่สังกัดอยู่ในชนชั้นล่างผู้เสียเปรียบ ผู้ถูกกดดัน ผู้ถูกหยาบหยาม แต่เป็นกบฏไปเข้ากับฝ่ายผู้ได้เปรียบ ตั้งตนเป็นศัตรูกับชนชั้นตัวเอง ประณามหยามเหยียดผู้ร่วมชนชั้นว่าโง่ ว่าทุจริต ว่าไม่ควรมีสิทธิมีเสียงเท่าชนชั้นที่ได้เปรียบ (ที่เอาเปรียบอยู่) รวมกลุ่มยอมตัวเป็นเครื่องมือห้ำหั่น ทำร้ายทำลายชนชั้นเดียวกับตัวเอง จึงอาจนับได้ว่าผู้เป็นกบฏต่อชนชั้นผู้เสียเปรียบของตัวเองเหล่านั้นเป็นปีศาจได้เช่นกัน

ต่างกันเพียงปีศาจชนิดหลังนี้เป็นปีศาจเฉพาะกาลที่สวนทางกาลเวลา ไม่อาจเติบโตและทนทานต่อกาลเวลาที่ผ่านไปได้ รอเวลาเข้าพิพิธภัณฑ์พร้อมกับกลุ่มที่สังกัดใหม่ ไม่เหมือนปีศาจชนิดแรกเช่นรัชนีหรือสาย สีมา

ปีศาจชนิดหลังนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัยของความรับรู้และสำนึกในความเป็นธรรม แต่เกิดจากเหตุและปัจจัยของผลประโยชน์ที่จะได้สังกัดในชนชั้นที่ได้เปรียบเพื่อจะได้เอาเปรียบของการฟังความข้างเดียว ของอคติ ของศรัทธาที่เกิดจากการตอกย้ำข้อมูลด้านเดียว ของศรัทธาในตัวบุคคลที่เกิดจากข้อมูลด้านเดียวนั้น และของการได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ได้เปรียบ กลุ่มผู้ทรงอำนาจซึ่งอาจนำไปเชิดหน้าชูตาในสังคมได้

ในช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมตลอดประวัติศาสตร์ เราจะพบปีศาจในสองลักษณะนี้เสมอ ในการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศเมืองขึ้น อุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งของนักต่อสู้กู้ชาติคือเพื่อนร่วมชาติที่เอาใจฝักใฝ่เข้าข้างเจ้าอาณานิคม และเข้าต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเพื่อนร่วมชาติที่กำลังต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาติอยู่ เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้เสมอในทุกชาติทุกประเทศที่มีการต่อสู้ในลักษณะดังกล่าว 

ในอินเดีย ตำรวจชาวอินเดียใช้ไม้กระบองหวดเพื่อนร่วมชาติสาวกของคานธีที่เดินมือเปล่าโดยไม่ปรานี ในเวียดนาม ทหารเวียดนามที่นิยมฝรั่งเศสเข้าต่อสู้แลกชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตายกับเพื่อนร่วมชาติที่ทำงานกู้อิสรภาพอยู่

และภายในสังคมของชาติเดียวกันที่ไม่ได้เป็นอาณานิคม ก็มีปีศาจของชนชั้นล่างผู้เสียเปรียบเข้าเป็นบริวารในสังกัดของผู้ได้เปรียบทำการเข่นฆ่า ทำลายล้างเพื่อนร่วมชนชั้นปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ


ปีศาจชนิดแรกเท่านั้นที่เป็นปีศาจแห่งกาลเวลาตามที่เสนีย์ เสาวพงศ์ ประกาศผ่านสาย สีมา ปีศาจชนิดหลังเป็นปีศาจเฉพาะกาลซึ่งจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา เป็นปีศาจที่ในท้ายที่สุดไม่เคยชนะเลยในประวัติศาสตร์ แม้จะสร้างความสูญเสียได้มากก็ตาม

ปีศาจเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นเหยื่อที่น่าสงสารของระบบซึ่งต้องให้ความเมตตา ให้ความรับรู้ และให้เวลา ในขณะเดียวกันต้องทำใจว่าจะมีส่วนหนึ่งฝังตัวอยู่กับระบบและศรัทธาที่ไม่ทนต่อกาลเวลาตราบวันสุดท้ายของชีวิต

ที่มา : มติชนรายวัน 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปีศาจเฉพาะกาล โดย น.พ.สมเกียรติ ธาตรีธร

ปีศาจเฉพาะกาล

โดย น.พ.สมเกียรติ ธาตรีธร


เมื่อ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา มีงานรำลึกถึง คุณเสนีย์ เสาวพงศ์ ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ที่ได้ข่าวว่ามีทหารมาขอทราบรายละเอียดและขอเข้าร่วมด้วย บรรยากาศในงานมีความคึกคักแบบปัญญาชนทางด้านสังคม ทหารที่มาสังเกตการณ์คงไม่ได้ข้อมูลอะไรที่ต้องทำการเคลื่อนไหวหลังงาน

ในงานมีคำถามคำตอบที่น่าสนใจคำถามหนึ่งคือ ในนิยายเรื่องปีศาจใครเป็นปีศาจตัวจริง และมีการเฉลยว่าคือรัชนี นางเอกในเรื่อง ผู้ซึ่งเป็นกบฏต่อชนชั้นของตัวเองเข้าร่วมทางและร่วมชีวิตกับสาย สีมา โดยไม่มีแม้แต่กระเป๋าเสื้อผ้าติดตัวมา 

ตัวสาย สีมา นั้นแม้จะเป็นปีศาจด้วยแน่นอน แต่ก็ยังสังกัดอยู่ในชนชั้นของตัวเอง ได้เผชิญกับแรงกดดันทางชนชั้นและได้รับความเจ็บปวดจากแรงกดดันนั้น แต่รัชนีไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันโดยตรงอย่างสาย สีมา เพียงได้รับรู้ ได้เห็น และรู้สึกคล้อยตามสาย สีมา ที่มีปฏิกิริยาต่อความไม่ถูกต้องเป็นธรรมที่เกิดจากแรงกดดัน ก็ถึงกับยอมสละสถานะทางชนชั้นเข้าร่วมทางกับสาย สีมา

สำหรับผู้สนใจพัฒนาการทางสังคมและนักอ่านนิยายที่สะท้อนปัญหาสังคม ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นได้รับรู้และซาบซึ้งเรื่องราวของทั้งบุคคลจริง และตัวละครในนิยายที่เป็นกบฏต่อชนชั้นของผู้ได้เปรียบที่ตัวเองสังกัดอยู่ เข้าร่วมทาง หรือบางครั้งเข้าต่อสู้ร่วมกับชนชั้นล่างผู้เสียเปรียบอยู่เสมอ

คนเหล่านั้นย่อมต้องเป็นปีศาจตามนัยยะของนิยายเรื่องปีศาจเช่นเดียวกับรัชนี

เมื่อยึดคำจำกัดความของปีศาจว่าคือคนผู้เป็นกบฏต่อชนชั้นตัวเองไปเข้ากับชนชั้นตรงข้าม ในปัจจุบันมีปีศาจตามนัยยะเดียวกันแต่สวนทางอยู่ไม่น้อย 

เป็นปีศาจที่สังกัดอยู่ในชนชั้นล่างผู้เสียเปรียบ ผู้ถูกกดดัน ผู้ถูกหยาบหยาม แต่เป็นกบฏไปเข้ากับฝ่ายผู้ได้เปรียบ ตั้งตนเป็นศัตรูกับชนชั้นตัวเอง ประณามหยามเหยียดผู้ร่วมชนชั้นว่าโง่ ว่าทุจริต ว่าไม่ควรมีสิทธิมีเสียงเท่าชนชั้นที่ได้เปรียบ (ที่เอาเปรียบอยู่) รวมกลุ่มยอมตัวเป็นเครื่องมือห้ำหั่น ทำร้ายทำลายชนชั้นเดียวกับตัวเอง จึงอาจนับได้ว่าผู้เป็นกบฏต่อชนชั้นผู้เสียเปรียบของตัวเองเหล่านั้นเป็นปีศาจได้เช่นกัน

ต่างกันเพียงปีศาจชนิดหลังนี้เป็นปีศาจเฉพาะกาลที่สวนทางกาลเวลา ไม่อาจเติบโตและทนทานต่อกาลเวลาที่ผ่านไปได้ รอเวลาเข้าพิพิธภัณฑ์พร้อมกับกลุ่มที่สังกัดใหม่ ไม่เหมือนปีศาจชนิดแรกเช่นรัชนีหรือสาย สีมา

ปีศาจชนิดหลังนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัยของความรับรู้และสำนึกในความเป็นธรรม แต่เกิดจากเหตุและปัจจัยของผลประโยชน์ที่จะได้สังกัดในชนชั้นที่ได้เปรียบเพื่อจะได้เอาเปรียบของการฟังความข้างเดียว ของอคติ ของศรัทธาที่เกิดจากการตอกย้ำข้อมูลด้านเดียว ของศรัทธาในตัวบุคคลที่เกิดจากข้อมูลด้านเดียวนั้น และของการได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ได้เปรียบ กลุ่มผู้ทรงอำนาจซึ่งอาจนำไปเชิดหน้าชูตาในสังคมได้

ในช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมตลอดประวัติศาสตร์ เราจะพบปีศาจในสองลักษณะนี้เสมอ ในการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศเมืองขึ้น อุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งของนักต่อสู้กู้ชาติคือเพื่อนร่วมชาติที่เอาใจฝักใฝ่เข้าข้างเจ้าอาณานิคม และเข้าต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเพื่อนร่วมชาติที่กำลังต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาติอยู่ เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้เสมอในทุกชาติทุกประเทศที่มีการต่อสู้ในลักษณะดังกล่าว 

ในอินเดีย ตำรวจชาวอินเดียใช้ไม้กระบองหวดเพื่อนร่วมชาติสาวกของคานธีที่เดินมือเปล่าโดยไม่ปรานี ในเวียดนาม ทหารเวียดนามที่นิยมฝรั่งเศสเข้าต่อสู้แลกชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตายกับเพื่อนร่วมชาติที่ทำงานกู้อิสรภาพอยู่

และภายในสังคมของชาติเดียวกันที่ไม่ได้เป็นอาณานิคม ก็มีปีศาจของชนชั้นล่างผู้เสียเปรียบเข้าเป็นบริวารในสังกัดของผู้ได้เปรียบทำการเข่นฆ่า ทำลายล้างเพื่อนร่วมชนชั้นปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ


ปีศาจชนิดแรกเท่านั้นที่เป็นปีศาจแห่งกาลเวลาตามที่เสนีย์ เสาวพงศ์ ประกาศผ่านสาย สีมา ปีศาจชนิดหลังเป็นปีศาจเฉพาะกาลซึ่งจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา เป็นปีศาจที่ในท้ายที่สุดไม่เคยชนะเลยในประวัติศาสตร์ แม้จะสร้างความสูญเสียได้มากก็ตาม

ปีศาจเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นเหยื่อที่น่าสงสารของระบบซึ่งต้องให้ความเมตตา ให้ความรับรู้ และให้เวลา ในขณะเดียวกันต้องทำใจว่าจะมีส่วนหนึ่งฝังตัวอยู่กับระบบและศรัทธาที่ไม่ทนต่อกาลเวลาตราบวันสุดท้ายของชีวิต

ที่มา : มติชนรายวัน 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Monday, January 18, 2016

แปลกแต่จริง (เครดิต unknown ทางไลน์)

แปลกแต่จริง

ทุจริตคลองด่าน...ชวน หลีกภัย ไม่ผิด เพราะนายกรัฐมนตรี (ชวน หลีกภัย) เป็นเพียงผู้กำกับนโยบาย
ผิดเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

คดีประกันราคาข้าว...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ผิด เพราะนายกรัฐมนตรี(อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เป็นเพียงผู้กำกับนโยบาย
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่ผิด เพราะเอกสารหายไปกับน้ำท่วม

คดี ปรส.....ชวน หลีกภัย ไม่ผิดเพราะนายกรัฐมนตรี(ชวน หลีกภัย) เป็นเพียงผู้กำกับนโยบายและคดีหมดอายุความไปแล้ว
ผิดเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติแต่เนื่องจากผู้ปฏิบัติมีอายุมากแล้ว จึงไม่ต้องรับโทษ

คดีโครงการรับจำนำข้าว....ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผิด เพราะนายกรัฐมนตรี(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)ต้องรับผิดชอบ ในฐานะผู้กำกับนโยบาย
ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่ผิด เพราะทำตามนโยบาย และรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติอยู่ระหว่างสอบสวน


สรุปว่า ขบวนการอยุติธรรม กำลังนำพาประเทศไทยให้ ฉิบหาย....

แปลกแต่จริง (เครดิต unknown ทางไลน์)

แปลกแต่จริง

ทุจริตคลองด่าน...ชวน หลีกภัย ไม่ผิด เพราะนายกรัฐมนตรี (ชวน หลีกภัย) เป็นเพียงผู้กำกับนโยบาย
ผิดเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

คดีประกันราคาข้าว...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ผิด เพราะนายกรัฐมนตรี(อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เป็นเพียงผู้กำกับนโยบาย
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่ผิด เพราะเอกสารหายไปกับน้ำท่วม

คดี ปรส.....ชวน หลีกภัย ไม่ผิดเพราะนายกรัฐมนตรี(ชวน หลีกภัย) เป็นเพียงผู้กำกับนโยบายและคดีหมดอายุความไปแล้ว
ผิดเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติแต่เนื่องจากผู้ปฏิบัติมีอายุมากแล้ว จึงไม่ต้องรับโทษ

คดีโครงการรับจำนำข้าว....ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผิด เพราะนายกรัฐมนตรี(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)ต้องรับผิดชอบ ในฐานะผู้กำกับนโยบาย
ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่ผิด เพราะทำตามนโยบาย และรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติอยู่ระหว่างสอบสวน


สรุปว่า ขบวนการอยุติธรรม กำลังนำพาประเทศไทยให้ ฉิบหาย....

ดร.เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย ตอน "ทำไม ทักษิน จึงเป็นเป้าโจมตี ไม่จบสิ้น? เขาเลวร้ายจริง หรือมีอะไรลึกกว่านั้น?"


​ดร.เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย ตอน "ทำไม ทักษิน จึงเป็นเป้าโจมตี ไม่จบสิ้น? เขาเลวร้ายจริง หรือมีอะไรลึกกว่านั้น?"
หรือ
หรือ
----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

ดร.เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย ตอน "ทำไม ทักษิน จึงเป็นเป้าโจมตี ไม่จบสิ้น? เขาเลวร้ายจริง หรือมีอะไรลึกกว่านั้น?"


​ดร.เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนลุย ตอน "ทำไม ทักษิน จึงเป็นเป้าโจมตี ไม่จบสิ้น? เขาเลวร้ายจริง หรือมีอะไรลึกกว่านั้น?"
หรือ
หรือ
----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน 
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

ทหารมีไว้ทำไม???? คำถามที่คนไทยต้องคิดทบทวน!!!





ใบตองแห้งเอ้ยไม่ใช่ขอโทษ!!บทความที่ผู้นำเหล่าทัพทหารและผบ.สส.ออกมารุมวิจารณ์ "ทหารมีไว้ทำไม?"  โดย อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์
------------------------------------
ตั้งคำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" ก่อให้เกิดความเสียหายแน่ แต่ไม่ใช่กับคนที่แต่งเครื่องแบบจำนวนน้อยที่เป็นนายทหาร พวกนี้เสียหายเหมือนกัน แต่เป็นความเสียหายระดับกระจอก แม้แต่เมื่อรวมเงินกินนอกกินในที่ได้จากการซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์แล้ว ก็ยังถือว่ากระจอก

เงินจำนวนมหาศาลจากวิสาหกิจกองทัพไม่ได้ใช้จ่ายไปกับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เหรียญตรา ฯลฯ ของทหารหรอกครับ แต่จ่ายไปกับอาวุธยุทธภัณฑ์และยุทธบริการที่ขายให้แก่กองทัพโดยบริษัทต่างๆ นี่เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของการผลิตในโลกปัจจุบัน มีการจ้างงานคนจำนวนมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำกำไรต่อปีมากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศในโลกนี้ แบ่งปันกันไปในหมู่ผู้ถือหุ้น ทั้งรายใหญ่และเล็ก รวมทั้งรัฐบาลของประเทศผู้ผลิตอาวุธด้วย

หากไม่สามารถตอบให้เป็นที่น่าพอใจได้ว่า "ทหารมีไว้ทำไม" จนทำให้โลกนี้ไม่มีทหารเหลืออยู่อีกเลย ส่วนนี้ของระบบการผลิตในโลกปัจจุบันจะต้องยุติลง คงใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าเศรษฐกิจใหญ่ๆ ทั้งหลายจะสามารถปรับตัว เอาทุนและแรงงานฝีมือไปใช้ในการผลิตสิ่งอื่นซึ่งมีการแข่งขันสูงกว่าได้ ฉะนั้น บางส่วนคงเจ๊ง และบางส่วนก็อาจหากำไรในการประกอบการอย่างอื่นได้ แต่จะให้ได้กำไรเหมือนการผลิตอาวุธและยุทธบริการไม่ได้หรอก

เสียหายแน่ แต่เสียด้านหนึ่งก็จะมีผลดีต่ออีกด้านหนึ่ง

ย้อนกลับไปเพียงแค่สมัยอยุธยาตอนปลาย ไปถามว่าทหารมีไว้ทำไม ชนชั้นปกครองก็จะตอบว่า เพื่อจัดหมวดหมู่กำลังแรงงานไพร่ เอาไว้ใช้ในราชการบ้าง ในกิจการส่วนตัวของเจ้าขุนมูลนายบ้าง แต่จะไม่มีใครตอบว่าเพื่อเป็นยามไว้ป้องกันขโมยเป็นอันขาด เพราะไพร่ที่ถูกจัดในหมวดทหาร มิได้มีหน้าที่พิเศษในด้านการรบ เมื่อเกิดศึกสงครามขึ้น ไพร่ที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่พลเรือนก็ถูกเกณฑ์ไปรบไม่ต่างจากไพร่ในหมวดหมู่ทหาร

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังคมไทยไม่เคยมีชนชั้น หรือกลุ่มประชากร ที่มีอาชีพในการรบเหมือนสังคมยุโรปหรือญี่ปุ่น อันที่จริงพูดว่าอัศวินในสมัยกลางของยุโรป หรือซามูไร เป็นอาชีพ ก็ชวนให้ไขว้เขวได้ อย่างน้อยคนเหล่านี้ไม่เคยคิดว่าตัวต้องทำอะไรเพื่อแลกกับอาหารและเครื่องอุปโภค คนที่ต้องทำอย่างนั้นคือชาวนาซึ่งไม่มีศักดิ์ศรีเหมือนอัศวินหรือซามูไร พวกเขาสั่งสมความสามารถในการรบไว้กับตัวเพื่อรับใช้นายของเขาด้วยความภักดี และความสามารถในการรบเป็นเกียรติยศในตัวของมันเอง ไม่ใช่ไว้ทำมาหากิน

คนเหล่านี้สังกัดใน "ชนชั้น" ของนักรบ เรียกว่าชนชั้นก็เพราะสืบทอดสถานะนั้นผ่านลงมายังลูกหลานได้ และสังคมไทยกับอีกหลายสังคมในโลกนี้ ก็ไม่เคยมี "ชนชั้น" อย่างนี้ในสังคม จริงๆ คำว่า "ทหาร" ในกฎหมายตราสามดวงแปลว่าอะไรก็ไม่รู้แน่หรอกครับ ถ้ามันเคยมีความหมายอะไรเกี่ยวกับเรื่องรบราฆ่าฟันมาก่อน ความหมายนั้นก็เลือนไปในกฎหมายตราสามดวงแล้ว

หากจะนับนักรบเป็นชนชั้นในสังคมโบราณ ยังมีชนชั้นนักรบในสังคมที่ไม่ใช่ยุโรปและญี่ปุ่นอีก เช่นบางสังคมมีกองทัพทาส คือเอาทาสมาฝึกรบ จนกลายเป็นกองกำลังประจำการของพระราชาหรือของเจ้าครองแคว้น ลูกหลานของทาสเหล่านี้ก็ยังดำรงสถานะนักรบประจำการของนายสืบมา จึงถือว่าเป็นชนชั้นเหมือนกัน


ในอีกหลายสังคม โดยเฉพาะชนเผ่าเร่ร่อน การรบหรือการต่อสู้สัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกจากการล่าสัตว์, การรักษาทุ่งหญ้าที่ใช้เลี้ยงสัตว์, หรือบางทีก็รวมการหาคู่ด้วย ดังนั้น วิถีที่เด็กผู้ชายเติบโตขึ้นมาก็คือถูกฝึกปรือให้มีความชำนาญด้านการต่อสู้ เช่น ขี่ม้าได้ตั้งแต่ยังเดินไม่คล่อง ผู้ชายของเผ่าทุกคนจึงรบเป็น แต่จะเรียกว่าพวกเขาเป็น "ทหาร" ทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะเขาคือนักเลี้ยงสัตว์ที่รบเป็นเท่านั้น

ผมไล่เรียงนักรบในสังคมต่างๆ มาเพื่อจะบอกว่า "ทหาร" ตามที่เราเข้าใจปัจจุบันเป็นสิ่งใหม่มาก เป็น "อาชีพ" ที่เกิดขึ้นในเงื่อนไขของโลกสมัยใหม่ นั่นคือเมื่อรัฐไม่ได้เป็นสมบัติส่วนตัวของพระราชาแล้ว แต่เป็นสมบัติร่วมกันของพลเมืองทุกคน หน้าที่ป้องกันบ้านเมืองจึงกลายเป็นของทุกคน

ในยุโรป ความคิดแบบนี้เกิดแก่ชาวฝรั่งเศสขึ้นก่อนหลังปฏิวัติฝรั่งเศส และด้วยเหตุดังนั้นกองทัพฝรั่งเศส จึงสามารถป้องกันประเทศจากการรุมยำของมหาอำนาจยุโรปสมัยนั้น (ออสเตรีย, ปรัสเซีย, อังกฤษ) ได้สำเร็จ เพราะมหาอำนาจเหล่านั้นล้วนยังใช้กองทัพนักรบและไพร่พลสังกัดมูลนายมารบกับกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งกลายเป็นกองทัพของอาสาสมัครพลเมือง ซึ่งไม่คิดจะรบให้ใครนอกจากให้แก่ "ชาติ" ซึ่งมีตนเองเป็นส่วนหนึ่งในชาติ ปลดปล่อยฝรั่งเศสจากศัตรู คือปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการของระบบศักดินา

ความเป็นชาติทำให้เกิดกองทัพประจำการขึ้นอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกองทัพประจำการที่เคยมีมาก่อนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพซึ่งมีไว้รักษาพระองค์, หรือราชวงศ์, หรือตระกูลเจ้าเมือง, หรือเจ้าครองแคว้น และไม่เหมือนกองทัพรับจ้างซึ่งนายทุนใหญ่ๆ มักสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการหากำไรทางการค้าของตนเอง เช่นกองทัพของบริษัทอินเดียตะวันออกทั้งของวิลันดาและอังกฤษ มีคนหลายชนชาติรับจ้างรบให้กับบริษัทของทั้งวิลันดาและอังกฤษ

กองทัพแห่งชาติเป็นกองกำลังประจำการ คือไม่ได้มีอยู่ตอนจะรบกับใคร แต่มีประจำการอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยก็ต้องรักษาแกนกลางของกองทัพเอาไว้ คือกลุ่มนายทหารซึ่งร่ำเรียนมาในการทำสงครามและทำการรบ ส่วนพลทหารก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากการอาสาสมัครไปสู่การเรียกเกณฑ์ ด้วยอำนาจของรัฐชาติ ทำให้เรียกเกณฑ์ได้จำนวนมาก เพราะรัฐชาติรวบรวมภาษีไว้ได้มากกว่าที่เจ้านายสมัยก่อนจะสามารถเรียกได้ จึงมีกำลังทางเศรษฐกิจที่จะเลี้ยงดูกองทัพที่มีกำลังพลจำนวนมาก พร้อมทั้งฝึกปรือทักษะขั้นพื้นฐานในการรบให้แก่ทหารเกณฑ์ได้หมด

ในหลายรัฐทั่วโลก ส่วนใหญ่แล้วไม่เคยมีกองทัพประจำการมาก่อน นอกจากกองกำลังเล็กๆ ที่มีไว้รักษาความปลอดภัยให้เจ้านาย เช่นเมืองไทยนั้นไม่เคยมีทั้งกองทัพประจำการจนถึง ร.5 และเช่นเดียวกับเมืองไทย เมื่อรัฐต่างๆ เริ่มเปลี่ยนหรือถูกบังคับให้เปลี่ยนมาเป็นรัฐชาติ (รัฐชาติจริงหรือจำแลงก็ตาม) ก็เกิดกองทัพประจำการของชาติขึ้นทั่วไป

ที่เรียกว่า "ทหาร" ในความหมายปัจจุบัน คือคนที่ทำงานอยู่ในกองทัพประจำการ เป็นอาชีพใหม่มากจนกระทั่งจะถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" จึงเป็นปรกติธรรมดามากๆ

ที่สงครามในโลกสมัยใหม่มักรุนแรงและเกิดความเสียหายมาก ไม่ได้มาจากอาวุธยุทธภัณฑ์ซึ่งมีกำลังทำลายล้างสูงเพียงอย่างเดียว แต่เพราะกองทัพแห่งชาติที่เข้าสัประยุทธ์กันนั้น เป็นกองทัพขนาดใหญ่กว่าที่พระราชาหรือบริษัทค้าขายจะสามารถระดมมาได้ด้วย

เมื่อรัฐชาติมีกองทัพประจำการขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของความเป็นรัฐชาติ เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือให้รัฐผูกขาดความรุนแรงได้เด็ดขาดที่สุด แต่ปัญหาที่ตามมาทันทีก็คือ แล้วกองทัพประจำการนั้นอยู่ในความบังคับบัญชาของใครกันเล่า โดยทฤษฎีแล้วกองทัพต้องอยู่ภายใต้การบังคับควบคุมของผู้บริหารรัฐ เพราะกองทัพเป็นกลไกรัฐอย่างหนึ่ง

แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ในรัฐชาติซึ่งเกิดขึ้นโดยยังไม่มีอำนาจอื่นพัฒนาขึ้นมาให้สูงเด่นเป็นที่ยอมรับทั่วไป เช่น รัฐสภา, พรรคการเมืองผูกขาด (เช่น พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคอุมโน หรือพรรคกิจประชา), หรือองค์กรศาสนา ฯลฯ กองทัพมักเป็นอิสระเหมือนเป็นรัฐซ้อนรัฐ (และมักจะซ้อนข้างบน) แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ, เกียรติยศ, อำนาจทางการเมือง ฯลฯ ให้แก่องค์กรของตนเอง หรือผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นนายทหารระดับสูง วิธีจะทำอย่างนั้นมักใช้อำนาจดิบที่มีในมือข่มขู่ให้อำนาจอื่นๆ ต้องยอมตามคำเรียกร้อง หรือมิฉะนั้นก็ร่วมมือกับบุคคลบางคนที่พอมีฐานคะแนนนิยมในสังคมอยู่บ้าง แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน เช่น อดีตประธานาธิบดีมาร์กอสแห่งฟิลิปปินส์ หรือซูฮาร์โตแห่งอินโดนีเซีย กองทัพได้ค่าต๋งจากงบประมาณและการเรียกเก็บนอกกฎหมาย รวมทั้งตำแหน่งฝ่ายพลเรือนทั้งในรัฐวิสาหกิจและผู้ว่าราชการจังหวัด ในขณะที่ผู้มีฐานคะแนนนิยมอยู่ในสังคมได้อำนาจเด็ดขาดทางการเมือง จะใช้อำนาจนี้ไปทำอะไรต่อก็แล้วแต่บุคคล

ในแง่นี้ กองทัพในหลายรัฐชาติ จึงขัดขวางพัฒนาการสองอย่างของรัฐชาติ หนึ่งคือขัดขวางพัฒนาการของประชาธิปไตย และสองคือขัดขวางแม้แต่พัฒนาการของความเป็นชาติในรัฐนั้น เพราะบทบาทของกองทัพทำให้พลเมืองทั่วไปมองไม่เห็นว่าชาติเป็นสมบัติร่วมกันของทุกคนโดยเสมอภาค ตราบเท่าที่แม้แต่สำนึกพื้นฐานของชาติเพียงเท่านี้ยังไม่เกิดแก่พลเมืองทั่วไป ตราบนั้นก็ไม่มีทางจะเกิด "ชาติ" ที่แท้จริงขึ้นได้ ไม่ว่ากองทัพจะเน้นย้ำความรักชาติสักเพียงใดก็ตาม

ปัญหาที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือ การรักษาอธิปไตยของรัฐชาติ อันที่จริงเป็นหน้าที่ซึ่งทำกันหลายฝ่าย แต่หากโชคร้ายที่ถึงที่สุดแล้วต้องมาลงเอยที่สงคราม กองทัพจะมีหน้าที่สำคัญสุด แต่สงครามเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่ทุกฝ่าย แม้แต่ฝ่ายที่ชนะ จึงมีความพยายามจะสร้างกลไกไว้นานาชนิด เพื่อทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัฐไม่พัฒนาไปจนถึงจุดที่ต้องทำสงครามระหว่างกัน แต่จะพูดว่ากลไกระหว่างประเทศเหล่านี้ไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ เช่น สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Westphalia) ซึ่งกำหนดให้รัฐไม่ว่าใหญ่หรือเล็กในยุโรปตะวันตกมีอธิปไตยเท่าเทียมกันหมด ตามมาด้วยการสร้างดุลอำนาจระหว่างรัฐใหญ่ต่างๆ เพื่อทำให้สงครามเกิดขึ้นได้ยาก แต่แล้วยุโรปตะวันตกก็เกิดสงครามขึ้นจนได้ ซ้ำเป็นสงครามร้ายแรงด้วย เพราะยกเอาพันธมิตรในดุลอำนาจฝ่ายตนเข้าราวีห้ำหั่นกัน

ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงสงครามแย่งผลประโยชน์กันนอกยุโรปตะวันตก เช่นในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งไม่ถูกถือตามสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียว่าทุกรัฐมีอธิปไตยเท่ากัน

มองด้านล้มเหลวก็ล้มเหลว แต่มองด้านสำเร็จก็สำเร็จมากเหมือนกัน จากสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียมาถึงปัจจุบัน กลไกระหว่างประเทศดังกล่าวถูกพัฒนาไปอย่างมาก นอกจากองค์กรโลกเช่นสหประชาชาติแล้ว ยังมีการรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ เช่น สหภาพยุโรป, อาเซียน และกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอเมริกาเหนือและกลาง โอกาสที่จะเกิดสงครามภายในกลุ่มเหล่านี้เหลือน้อยลงมาก ถึงยังมีสงครามกับประเทศนอกกลุ่ม แต่ก็อยู่ในวงจำกัดไม่ลามไปเป็นสงครามขนาดใหญ่

โลกภายใต้กลไกระหว่างประเทศเพื่อป้องกันและระงับสงครามดังที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้คำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" เป็นคำถามที่มีเหตุผล และควรต้องถามกันอย่างวิเคราะห์เจาะลึกทีเดียว อาจเป็นได้ว่ากองทัพประจำชาติคือกระดุมที่ติดอยู่ปลายแขนเสื้อนอก ซึ่งไม่ได้มีไว้กลัดกับอะไร แต่ต้องมีไว้เพราะเป็นธรรมเนียมที่เหลือตกค้างมาแต่อดีต

แม้แต่จะธำรงรักษากองทัพแห่งชาติไว้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนการจัดองค์กร, ขนาด, เครื่องไม้เครื่องมือ, สายการบังคับบัญชา ฯลฯ กันใหม่หมด จึงจะเหมาะกับโลกปัจจุบันซึ่งมีกลไกระหว่างประเทศเพื่อป้องกันและป้องปรามการสงครามที่สลับซับซ้อนเช่นนี้

คําถาม "ทหารมีไว้ทำไม" เป็นคำถามสำคัญแห่งยุคสมัยอย่างที่แทบจะหาคำถามอื่นเทียบไม่ได้ และเราต้องไม่ลืมว่า กองทัพแห่งชาติบวกกับธุรกิจค้าอาวุธและยุทธบริการแก่ทหาร ทำให้กองทัพไม่ว่าของชาติใดทั้งสิ้นเป็นองค์กรรัฐที่สิ้นเปลืองอย่างมาก จนบางครั้งแทบทำให้รัฐพิการลงไปเพราะหมดสมรรถนะที่จะดูแลพลเมืองของตนเอง

ไม่มีกองทัพ เราจะสามารถทำให้ทุกคนเข้านอนได้ด้วยท้องที่อิ่ม ไม่มีกองทัพ จะมีเงินเหลือมาปรับปรุงระบบสุขภาพถ้วนหน้าได้มากกว่านี้อีก และในทุกประเทศทั่วโลก ไม่มีกองทัพ เด็กและผู้ใหญ่ทุกคนที่อยากเรียนรู้ จะได้เรียนรู้ ไม่มีกองทัพ โลกทั้งโลกจะสามารถบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกได้ก่อนเวลาที่ตกลงกันเป็นหลายสิบปี ไม่มีกองทัพ เราจะสามารถขจัดโรคติดต่อร้ายแรงให้หมดไปจากโลกโดยสิ้นเชิงได้ ไม่มีกองทัพ ทั้งโลกจะยิ่งพัฒนากลไกระหว่างประเทศเพื่อระงับสงครามให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่มีกองทัพ… จะมีโลกใหม่ที่ชีวิตผู้คนอาจดำเนินไปอย่างสงบสุขและสร้างสรรค์กว่าที่เราเผชิญมา

เรามาช่วยกันตั้งคำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" ให้ติดปากทุกคน และช่วยกันหาคำตอบต่อคำถามนี้อย่างเอาจริงเอาจัง โดยไม่ยอมให้ใครสถาปนาแนวคำตอบของตนขึ้นครอบงำคนอื่น

*+ วัดพระธรรมกายในทัศนะของนักข่าวผู้ไปเจาะลึก!

*+ วัดพระธรรมกายในทัศนะของนักข่าวผู้ไปเจาะลึก! (และไม่ประสงค์ออกนาม) พร้อมข้อมูลพื้นฐานสำหรับนักวิจารณ์มือใหม่+* ตอนที่ 2. รู้ลึก รู้จริง ขำด้วย

 เรื่องเล็กๆน้อยๆเอาไว้ก่อน มาถึงตอนนี้ผู้คนสงสัยว่า โอเค วัดนี้ด้านดีๆก็มีบ้าง แต่ทำไมถึงไม่เป็นข่าว นี่จะบอกให้ ดูหน้า1หนังสือพิมพ์สิ ลงข่าวดี ลงข่าวโลกสวยซะที่ไหน มันไม่มีองค์ประกอบของข่าว หรือคุณค่าความเป็นข่าวไงครับ เช่น ต้องเป็นบุคคลสำคัญ ความแปลกประหลาด การค้นพบวิทยาการอะไรใหม่ๆ เรื่องที่มีความใกล้ชิดกับเราหรือมีผลกระทบกับเรา เป็นต้น กิจกรรมประเภท CSR หรือ PR หน่วยงานต่างๆส่วนใหญ่จะเสียตังค์ซื้อพื้นที่สื่อเอง ส่วนข่าวดราม่าๆตามกระแสสังคม โดยเฉพาะคนกรุงฯและชาวโซเชี่ยล แบบนี้แหละ สำนักข่าวชอบ

เหมือนดาราสักคน บางคนอาจจะดี แต่ภาพลักษณ์ผ่านสื่ออาจดูเลว ส่วนบางคนเลว แต่สร้างภาพผ่านสื่อว่าดี มันขึ้นอยู่กับตัวเราแล้วแหละ ว่าจะมีวิจารณญาณขนาดไหน

โดยเฉพาะล่า สุด ธุดงค์ธรรมชัย ของวัดนี้แน่นอนว่าสำนักข่าวต่างๆจ้องเล่นข่าวอยู่แล้ว ตามหลักทฤษฎี เข้าหลายข้อเลยแหละ และยิ่งบอกว่าทำให้รถติดด้วยนะ ยิ่งแจ่มเลย ขนาดฝนตกแล้วรถติดยังด่าฝนเลยจ้าาา ฉะนั้น ชาววัดพระธรรมกายอย่าน้อยใจ นี่คือโลกของความเป็นจริง ท่องเอาไว้เลยว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์" 

แม้ว่าคุณจะแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า ยกหลักพระไตรปิฎกมาบอกว่าเป็นการธุดงค์ตามพระธรรมวินัยทุกประการก็ตาม เดินบนไหล่ทาง ก็จะโดนด่า คนเขาไม่สนใจว่าคุณเดินตามเส้นทางวัดสำคัญๆที่หลวงปู่สด วัดปากน้ำเคยผ่าน เขาก็จะไล่คุณไปเดินเข้าป่านู่น แม้วัดคุณจะมีโครงการเดินธุดงค์ธรรมชัยพัฒนาวัดร้างให้เป็นวัดรุ่ง เดินตามชนบทมาทั่วประเทศแล้วก็ตาม เขาก็ยังจะไล่คุณไปเดินแถว 3-4 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งแม้ว่าทางวัดคุณจะมีกิจกรรมถวายสังฆทานยก4จังหวัดทุกเดือนที่ใต้ก็ตาม ต้องทำใจ พฤติกรรมการเสพสื่อสมัยใหม่เป็นไปตามกระแสเช่นนี้ จึงต้องรู้ให้เท่าทัน และต้องให้ถูกจริตคนกรุง+เด็กเกรียนคีย์บอร์ดทั้งหลาย

อีก ประเด็นยอดฮิต หลายคนบอกว่า วัดพระธรรมกายรวยก็รวย ทำไมไม่ให้ทุนการศึกษา ที่จริงมีเยอะครับ เยอะมาก เช่นโครงการวีสตาร์ แว่วๆว่าแต่ละปีวัดทุ่มให้กับทุนการศึกษานักเรียนกว่าร้อยล้าน บริจาคโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เปิดคลีนิครักษาฟรี ยังไม่รวมงานสังคมสงเคราะห์ของลูกศิษย์ตัวบิ๊กๆ..แน่นอน ไม่เป็นข่าว

เพราะ อะไร ส่วนหนึ่งอาจมาจาก เหมือนสำนักข่าวก็ไม่อยากpr ให้วัดนั่นแหละ กลัวถูกครหาว่าเป็นสาวก เพราะขนาดลูกศิษย์ลูกหาแท้ๆ ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ทั้งๆที่มีอยู่ทุกวงการ กลัวถูกสังคมรังเกียจ ข่าวว่าแต่ละวันแต่ละเดือน ก็จะคอยภาวนาว่า "วัดชั้นจะถูกพันทิบกับสำนักข่าวขุดขึ้นมาด่าอีกไหมหนอ" ชนชายขอบเหล่านี้ ยอมรับว่าน่าเห็นใจ ก็กลัวๆอยู่ว่าวันดีคืนดีเค้าจะลุกขึ้นมาเอามีดปาดคอหรือทำระเบิดพลีชีพใส่ พวกด่าวัดพระธรรมกาย อย่างกลุ่มไอเอสรึเปล่า แต่ทางวัดก็คงไม่สอนแบบนี้หรอก สบายใจได้

อีกอันเรื่องการบริจาค วัดนี้ จากการวิจัย ไม่ได้เน้นเรื่องทำทานนะครับ เน้น "ภาวนา" หรือนั่งสมาธิเป็นหลัก ใครเคยไปจะรู้ว่านั่งจนตาตุ่มด้าน นั่งจนจะไปนิพพาน จะไปที่สุดแห่งธรรม นี่คือแก่นคำสอนของวัดเลย เราต้องเข้าใจใหม่เวลาจะวิจารณ์เค้า ไม่ใช่อยู่ก็เปิดหน้าว่า "สอนผิดๆสอนทำบุญเยอะๆ" แค่นี้ก็พูดกันคนละภาษาแล้ว ผมเชื่อว่าคนวัดพระธรรมกายคุยได้ แม้บางครั้งเราจะไม่เข้าใจ เพราะอุดมการณ์สูงสุดในชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน การให้ค่าต่อสิ่งหนึ่งๆจึงไม่เหมือนกัน เราอย่าเพิ่งเอามาตรฐานตัวเราไปเปรียบเทียบ ขอเตือน เดี๋ยวเงิบ

ส่วน เรื่องศีล ชาววัดพระธรรมกาย ถือศีล5 เป็นปกติ เพื่อนผมที่เป็นชาววัดบางคนถือศีล8เลยจ้า ถ้าใครมีเพื่อนเข้าวัดนี้ สังเกตง่ายๆว่าจะไม่ดื่มเหล้าสูบุหรี่ วันอาทิตย์ก็เข้าวัดตลอด ไม่รู้ว่าล้างสมองกันยังไง

กลับมาเรื่องบริจาค มีทั้งคนทำน้อยทำมาก ไม่บังคับ และที่สำคัญ อันนี้ขีดเส้นใต้8ล้านที "วัดนี้ไม่เคยสอนว่าต้องทำบุญมากๆถึงจะได้บุญมาก" และไม่เคยสอนว่าเอาเงินซื้อสวรรค์ซื้อนิพพานได้ วัดสอนตามหลักพุทธทุกอย่าง คือ บุญกริยาวัตถุ10 เรื่องเชียร์ทำบุญกันก็เป็นกุศโลบายกำจัดความตระหนี่จากใจ สละโลภ อย่างบุคคลในสมัยพุทธกาล อันนี้ทางวัดจะย้ำ โดยเฉพาะดำเนินตามรอยนิสัยพระพุทธเจ้าตอนเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ที่แบบว่า ยอมตายได้เพื่อสร้างบารมีทั้ง10ทัศ

เท่าที่สังเกต วัดนี้คนปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง มีเป้าหมายคือ "เข้าถึงวิชชาธรรมกาย" ไม่เชื่อถามดู ไม่ได้มาวัดเพื่อบริจาคแล้วหวังรวย พวกเราจำใส่หัวกันใหม่นะ อีกอย่าง ชาววัดนี้ ไม่ได้หวังอยู่แค่สวรรค์ แต่หวังนิพพาน และไกลกว่านิพพานเฉพาะตัวเอง คือใช้คำว่า "รื้อสัตว์ขนสัตว์เข้านิพพานให้หมด" ด้วยการชวนคนทั้งโลกมาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย เท่ากับการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาชั้นเบื้องต้น จนลุ่มลึกเข้าไป

สรุป ง่ายๆคือ หมู่คณะวัดพระธรรมกาย ปฏิญาณตนสั่งสมบารมีไปเรื่อยๆ เติมเต็มไปทุกชาติ จนกว่าจะเข้านิพพาน เมื่อรู้ว่าระหว่างภพชาติที่ยังไปไม่ถึงก็สร้างบุญเป็นเสบียงให้เกิดมามี พร้อม อันนี้คือความคิดของคนวัดนี้ ก็น่าคิดเล่นๆนะว่า มิน่าล่ะถึงมีแต่เศรษฐี



บทความย๊าว ยาวต่อตอนที่ 3 นะค่ะ ย่ิงอ่านยิ่งสนุก 

cr.นักข่าวผู้มาเจาะลึก และไม่ประสงค์ออกนาม

#พระพุทธศาสนา #ธรรมกาย #วัดพระธรรมกาย #dhammakaya