Saturday, October 3, 2015
ความร้ายกาจของหลังบ้าน ประยุทธ์ (เหยือตัวสำคัญๆ)
ความร้ายกาจของหลังบ้าน ประยุทธ์ (เหยือตัวสำคัญๆ)
เรามีปริมาณสำรองทรัพยากรแร่ที่มี มูลค่ามากถึง 23,913 ล้านล้านบาท ถ้าจะนำมาหารแบ่งให้คนไทยทุกๆคนก็เท่ากับว่าคนไทยแต่ละคนถือครองทรัพย์สิน อยู่คนละ 400 ล้านบาท
น่า จะเป็นครั้งแรกที่ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณทรัพยากรแร่บนผืนแผ่นดินไทยได้ถูก เปิดเผยให้ชาวบ้านธรรมดาๆได้รับรู้ว่าเรามีปริมาณสำรองทรัพยากรแร่ที่มี มูลค่ามากถึง 23,913 ล้านล้านบาท ถ้าจะนำมาหารแบ่งให้คนไทยทุกๆคนก็เท่ากับว่าคนไทยแต่ละคนถือครองทรัพย์สิน อยู่คนละ 400 ล้านบาท นี่ขนาดยังไม่ได้รวมทรัพยากรแร่ที่อยู่ในทะเลและทรัพยากร ปิโตรเลียมที่ปัจจุบันเราผลิตได้ประมาณ 8 แสนบาร์เรลต่อวันอีกต่างหาก
http://www.dailynews.co.th/politics/339482
ใครรู้เข้าคงอิจฉาตายชัก
ที่กล่าวมาคือทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป แต่ที่ใช้แล้วไม่หมดคือผืนแผ่นดินที่เราอยู่อาศัยพร้อมทั้งให้พืชพันธุ์ ธัญญาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่เรารอบแล้วรอบเล่าอย่างไม่รู้จบสิ้น เราผลิตอาหารได้มากจนต้องขายส่งออกไปเลี้ยงพลเมืองโลก
ป่าฝนเขตร้อนสร้างความหลากหลายทางชีวภาพที่มูลค่ามหาศาลทั้งทางด้านการเกษตรและสุขภาพอันไม่อาจประเมินได้ให้แก่ประเทศชาติของเรา
เรามีอ่าวไทยที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำนาๆชนิดจนสามารถสร้างให้ประเทศของเราเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ของโลก
เรามีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมและโบราณคดีกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ
เรามีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยสดงดงามทั้งบนบกและในทะเลชนิดที่จารนัยไม่หวาดไหว
เรื่องอาหารการกินเราก็ไม่แพ้ใครในโลก
เฉพาะเรื่องกินเรื่องเที่ยวก็สามารถสร้างรายได้ถึง 1 ใน 5 ของรายได้ประชาชาติเข้าไปแล้ว
นี่ยังไม่นับรวมการส่งออกด้านวัฒนธรรมเช่นร้านอาหาร บริการนวดแผนไทย กีฬามวยไทยที่กำลังเฟื่องฟูนำรายได้เข้าประเทศอีกปีละไม่น้อย
เท่าที่ไล่เรียงมาก็รวยจนปวดหัวแล้ว แถมที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศเรายังเป็นศูนย์กลางของพลเมือง ครึ่งโลก ผืนแผ่นดินเราติดสองมหาสมุทร จะเดินทางไปมาค้าขายทิศทางใดก็สะดวกทั้งนั้น
แบบนี้ไม่เป็นประเทศที่มั่งคั่งแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?
ผมเองก็แปลกใจว่า ในเมื่อเรามี "ทุน" อยู่มหาศาลอย่างนี้แต่ผู้บริหารประเทศทุกยุคทุกสมัยแม้ในปัจจุบัน กลับยังร้องโหยหวนเพรียกหานักลงทุนต่างชาติอยู่นั่นแหละ มันไม่มีสติปัญญาพาคนในชาติทำมาหากินหรืออย่างไรกัน(วะ)
เรียกเขามาลงทุนหรือมากอบโกย?
เพราะยิ่งออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนมากขึ้นเท่าไหร่ คนไทยก็หนี้สูงท่วมหัวมากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่ควรทำในวันนี้คือเราต้องสร้างคนของเราในทุกระดับให้รู้จักใช้และบริหารจัดการทรัพยากรที่เรามีอยู่อย่างมั่งคั่งให้ "ยั่งยืน"
ไม่ใช่รนลานรีบเลหลังขายทรัพยากรของชาติในราคาถูก และปล่อยให้ทุนนิยมกลืนกินวัฒนธรรมอันดีงามจนหมดสิ้นอย่างที่กำลังทำกันอยู่ ในเวลานี้
แล้วยังเสือกทะลึ่งอวดตัวว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อคนในชาติ......ถุ๊ยส์!
Friday, October 2, 2015
เอาผิดกับผู้ก่อรัฐประหาร ก้าวสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในบูร์กินาฟาโซ
เอาผิดกับผู้ก่อรัฐประหาร ก้าวสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในบูร์กินาฟาโซ
วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23:05:00 น.
Credit: Please visit http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1443800572
AFP PHOTO / AHMED OUOBA | โดย อดิเทพ พันธ์ทอง "การก่อรัฐประหารเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด" นาย พลกิลแบต์ เดียนเดร์ ผู้นำกองกำลังกบฏที่จับตัวสองผู้นำสูงสุดของรัฐบาลเฉพาะกาลของบูร์กินาฟาโซ เป็นตัวประกันกล่าวยอมรับ หลังยอมคืนอำนาจให้กับรัฐบาลพลเรือน ทั้งๆ ที่เพิ่งประกาศยึดอำนาจได้เพียงสัปดาห์เดียว และเตรียมถูกดำเนินคดีหลังการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลว การ เปลี่ยนแปลงจากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุดของนายพลเดียนเดร์เกิดขึ้นในระยะเวลา ที่สั้นมาก จุดสำคัญคือเขาไม่ได้มีมวลมหาประชาชนชาวบูร์กินาฟาโซที่เชื่อว่านายทหารคือ ชนชั้นพิเศษที่โกงกินไม่เป็นคอยหนุนหลัง และเขาไม่ได้เป็นผู้ที่ควบคุมกองทัพทั้งหมดของบูร์กินาฟาโซอย่างเป็นเอกภาพ ทำให้การยึดอำนาจของเขาด้วยการอาศัยกองกำลังพิทักษ์ประธานาธิบดี (Presidential Security Regiment, RSP) ถูกท้าทายจากทางกองทัพ นอกจากนี้หลายประเทศในภูมิภาคยังรวมตัวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันร่วมกดดันให้ เขาต้องลงจากตำแหน่ง พัฒนาการ ที่น่าติดตามหลังการยอมถอยของผู้นำกบฏคือ การที่รัฐบาลพลเรือนสั่งอายัดทรัพย์สินของนายพลเดียนเดร์และพวก พร้อมระบุต้องนำตัวผู้ก่อการขึ้นพิจารณาโทษตามกระบวนการยุติธรรม แม้ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาจากวงเจรจาเพื่อยุติเหตุวุ่นวายทางการเมืองครั้ง นี้เสนอให้นิรโทษกรรมผู้พยายามก่อรัฐประหารก็ตาม ซึ่งหากทำได้จริงจะแสดงให้เห็นว่ากฎหมายป้องกันการใช้กำลังเพื่อเปลี่ยนแปลง การปกครองในบูร์กินาฟาโซมีสถานะเป็นกฎหมายที่สามารถบังคับใช้ได้จริงๆ ไม่เหมือนบางประเทศ ที่นักกฎหมายช่วยกันตีความเข้าข้างการใช้กำลังยึดอำนาจประชาชนว่าเป็นสิ่ง ที่ชอบธรรม การออกกฎหมายยกเว้นความผิดให้กับตัวเองมีความสมบูรณ์ โดยไม่ต้องผ่านการเห็นชอบของประชาชน หลัง จากนี้ ผู้นำทหารในบูร์กินาฟาโซคงต้องคิดหนักขึ้น หากหวังจะใช้อำนาจเถื่อนเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลพลเรือน เพราะหากตัวเองสิ้นอำนาจอาจต้องเผชิญกับการดำเนินคดีเหมือนอย่างนายพลเดีย นเดร์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับชาวบูร์กินาฟาโซ ที่มีหลักประกันว่าผู้ที่ไม่เคารพกติกาจะต้องได้รับการลงโทษ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่อาจถูกล้มล้างได้ง่ายๆ โดยอาศัยการตัดสินใจของคนไม่กี่คน ใน ทางกลับกัน ประเทศในอีกซีกโลกหนึ่งกลับยึดถือการรัฐประหารว่าเป็นส่วนหนึ่งของจารีต ประเพณีการปกครองที่ไปด้วยกันได้กับระบอบประชาธิปไตย และพยายามสร้างคำจำกัดความของคำว่า "ประชาธิปไตย" ขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับของตนเอง (ไม่ต่างกับการหลอกชาวบ้านของคนใช้รถในประเทศนี้ ที่นิยมติดสติ๊กเกอร์บอกว่า "รถคนนี้สีขาว" ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ท่นโท่ว่าเป็นรถสีดำ) อีก ความพยายามหนึ่งที่น่าสนใจของคนที่รังเกียจประชาธิปไตยในประเทศนี้ คือการพยายามบอกว่า "ประชาธิปไตย" เป็นแค่รูปแบบการปกครองรูปแบบหนึ่ง มิได้มีคุณค่าความดีงามใดๆ สูงส่งไปกว่าระบอบอื่นๆ รวมไปถึงระบอบเผด็จการ บางรายอ้างระบบคุณธรรมขึ้นมานำหน้าระบอบการปกครอง พร้อมชี้ว่า การปกครองที่ดีอยู่ที่ "ความดีของผู้ใช้อำนาจปกครอง" โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าการปกครองของบุคคลดังกล่าวจะใช้ระบอบการปกครองใน รูปแบบใด คน ที่จะพูดอย่างนี้ได้ต้องเป็นคนที่ไม่สนใจใยดีว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับตนเองจะ ถูกปฏิบัติอย่างไร มองว่าเสรีภาพเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่คิดว่าคนทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ขอแค่ให้ผู้ปกครองเป็น "คนดี" ก็พอ ด้วยคุณสมบัติข้อเดียวนี้ คนดี (ซึ่งไม่รู้ว่ามีคำจำกัดความที่แน่ชัดอย่างไร) จึงมีสิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น มีความชอบธรรมที่จะขึ้นปกครองคนทั้งมวลได้ โดยไม่ต้องสนใจว่าคนส่วนใหญ่จะให้การยอมรับหรือไม่ และสามารถออกคำสั่งริดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นได้ตามใจชอบ หากบุคคลดังกล่าวยังถูกเชิดชูว่าเป็นคนดี โดยกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลและสถานะทางสังคมที่ได้เปรียบคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดัง นั้น ตราบใดที่ประเทศดังกล่าวยังคงเห็นค่าของคนไม่เท่ากัน ยังยอมรับระบบคุณธรรมจอมปลอมที่ตรวจสอบไม่ได้ และคิดว่าการกักขังคนที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเองเป็นเรื่องปกติ โอกาสที่จะได้เห็นระบอบประชาธิปไตยลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในประเทศแบบนี้คง เป็นไปได้ยาก แม้มีโอกาสได้ผุดได้เกิดอีกครั้งก็อาจถูกพวกที่อ้างระบบคุณธรรมโค่นล้มได้ ง่ายๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเหมือนอย่างบูร์กินาฟาโซ |
เอาผิดกับผู้ก่อรัฐประหาร ก้าวสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในบูร์กินาฟาโซ
เอาผิดกับผู้ก่อรัฐประหาร ก้าวสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในบูร์กินาฟาโซ
●ข่าวลับกรองแล้ว● 1 ตุลาคม 2558
ร่างจดหมายที่สามารถส่งถึงผู้นำประเทศต่าง ๆ เพื่อให้เขาช่วยบอยค็อตต์รัฐบาลเผด็จการทหารไทยอย่างเด็ดขาด
ร่างจดหมายที่สามารถส่งถึงผู้นำประเทศต่าง ๆ เพื่อให้เขาช่วยบอยค็อตต์รัฐบาลเผด็จการทหารไทยอย่างเด็ดขาด
ปัญหาของการใช้อำนาจตุลาการ เข้าไปชี้ขาดตัดสินข้อพิพาทต่างๆในสังคม
ปัญหาของการใช้อำนาจตุลาการ เข้าไปชี้ขาดตัดสินข้อพิพาทต่างๆในสังคม
๑. ประทศไทย นับแต่ประกาศ และ บังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพ.ศ.๒๕๔๐ เป็นต้นมา นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ ของ "การถอยหลังเข้าคลองครั้ง มโหรฬาร" โดยอาศัยการนำของใหม่ คือ "โครงร่างรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution)" ก็อปปี้มาใช้โดยตรงโดยไม่ดัดแปลง หรือ ประยุกต์นำมาใช้ ให้เข้ายุคสมัยของประเทศไทย เป็นการถอยหลังครั้งใหญ่ของ "ประชาธิปไตยไทย" กลับไปในวันเวลากว่า ๒๐๐๐ ปีที่ผ่านมาของโลก
๒. ทั้งนี้โดยอาศัย การโหมโฆษณาของใหม่ ที่ไม่เคยเกิดมีขึ้น ในประวัติศาสตร์การเมือง และ การปกครองของไทย {สร้างศาลปกครอง, ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ให้เกิดเป็นสถาบันของชาติ (National Institutions)} โดยไม่มีการประกาศโดยแจ้งชัดในเหตุผล ที่ต้องนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ และ เมื่อนำมาใช้แล้ว ก็ย่อมเกิดปัญหาแก่ประชาชน และสังคมไทย แต่บรรดาผู้ร่างกฏหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ไม่เคยแสดงออก ซึ่งความรับผิดชอบต่อ ประชาชน และสังคมไทยแต่อย่างใด
๓. รวมทั้ง ไม่เคยเสนอทางออกจาก กับดักทางรัฐธรรมนูญ ที่สร้างขึ้น โดยอาศัยปากของคนชั้นนำในสังคมไทย เป็นคนออกมาเป็นแนวหน้า ป่าวร้องให้ชาวบ้าน ผู้อ่อนด้อยทางการศึกษา เพราะ มีความรู้ไม่พอเพียง ให้เห็นด้วยกับ การร่างรัฐธรรมนูญ ในรูปลักษณ์เช่นนี้ ออกมาบังคับใช้
๔. การออกมาเขียน ให้ได้รับรู้กันโดยทั่วไปเช่นนี้ มิใช่เป็น สร้างข้อกล่าวหาในทางร้ายให้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ แต่อย่างใด ทั้งนี้ผม ได้นำเสนอเค้าโครงของ ร่างรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution) ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ได้ทำการศึกษาโดยเปรียบเทียบ กับ เค้าโครงของร่างรัฐธรรมนูญไทยฉบับดังกล่าวแล้ว ปรากฏ เป็นเค้าโครงร่างของ รัฐรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution) อยู่ในชุมชนแห่งเสรีภาพ (the Land of Liberty ที่ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน อาจไปดาวน์โหลดรูปภาพ ที่ว่านั้น มาศึกษาโดยเปรียบเทียบได้ โดยเสรี
๕. โดยที่ผม จะนำคำอรรถาอธิบายในส่วนต่างๆของ เค้าโครงของ ร่างรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution) ที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็น ผู้ร่างนำขึ้นใช้ โดยไม่ให้คำอรรถาอธิบายใดๆ มาอธิบาย และ ชี้ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ได้รับทราบ เป็นตอนๆในชุมชนแห่งเสรีภาพ (the Land of Liberty ต่อไป
๖. การนำเอาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ มาประกาศ และ บังคับใช้เป็นกฏหมายที่สำคัญ (ตราสารที่สำคัญ) ของชาติเช่นนี้ ย่อมไม่ต่างไปจากที่นายพลตีโต้ แห่งยูโกสลาเวีย ไปแก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งชาติของประเทศยูโกสลาเวีย ในปีค.ศ. 1963 และ
๗. มาแก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งชาติของ ประเทศยูโกสลาเวีย ในหนสุดท้ายในปีค.ศ. 1974 จนนำไปสู่ การล่มสลายของประเทศยูโกสลาเวีย ประเทศถูกแบ่งแยก เป็นประเทศเกิดใหม่ เพิ่มขึ้นอีก ๔ – ๕ ประเทศ (สโลวาเนีย, บอสเนีย เฮอร์เซโกวีน่า, รัฐเซริบส์ใหม่, โคโซโว่ รวมทั้ง มอนเตเนโกร และมาเซโดเนีย)
๘. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ นอกจากจะสร้างปัญหาให้กับ พี่น้องประชาชนคนไทย ทั้งประเทศ ผู้อ่อนด้อยทางปัญญา และ ความรู้ในเชิงวิชาการดังที่กล่าวมาแล้ว
๙. ยังเป็นการสร้างปัญหาแก่ การใช้อำนาจในทาง ที่อำนวยความยุติธรรม และใช้อำนาจในทางฝ่ายตุลาการ (the exercising of Judiciary) อย่างเกินกว่า ขอบอำนาจ (the Usurpation of Powers) ที่ควรมี ควรจะเป็น อีกทั้งยังเป็น การฝ่าฝืนต่อครรลอง อันชอบธรรมของ กฏเกณฑ์ของโลก (World Summit Outcome, 2005) และ
๑๐. ยังมีการใช้อำนาจ จากมาตรการ ที่วางไว้ตามรัฐธรรมนูญ "แบบ ตาบอด คลำช้าง" กลายเป็น การหยิบยื่น มาตรการทางอำนวยความยุติธรรม ในรูปแบบ ๒ มาตรฐาน โดย ผู้ที่ใช้อำนาจอำนวยความยุติธรรม ทั้งระบบ ไม่อาจรับรู้ หรือ มีความรู้สึกว่า การใช้อำนาจ เช่นว่านั้น ฝ่าฝืนต่อครรลองความชอบธรรมของโลก...................... (มีต่อ)
ปัญหาของการใช้อำนาจตุลาการ เข้าไปชี้ขาดตัดสินข้อพิพาทต่างๆในสังคม
ปัญหาของการใช้อำนาจตุลาการ เข้าไปชี้ขาดตัดสินข้อพิพาทต่างๆในสังคม
๑. ประทศไทย นับแต่ประกาศ และ บังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพ.ศ.๒๕๔๐ เป็นต้นมา นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ ของ "การถอยหลังเข้าคลองครั้ง มโหรฬาร" โดยอาศัยการนำของใหม่ คือ "โครงร่างรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution)" ก็อปปี้มาใช้โดยตรงโดยไม่ดัดแปลง หรือ ประยุกต์นำมาใช้ ให้เข้ายุคสมัยของประเทศไทย เป็นการถอยหลังครั้งใหญ่ของ "ประชาธิปไตยไทย" กลับไปในวันเวลากว่า ๒๐๐๐ ปีที่ผ่านมาของโลก
๒. ทั้งนี้โดยอาศัย การโหมโฆษณาของใหม่ ที่ไม่เคยเกิดมีขึ้น ในประวัติศาสตร์การเมือง และ การปกครองของไทย {สร้างศาลปกครอง, ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ให้เกิดเป็นสถาบันของชาติ (National Institutions)} โดยไม่มีการประกาศโดยแจ้งชัดในเหตุผล ที่ต้องนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ และ เมื่อนำมาใช้แล้ว ก็ย่อมเกิดปัญหาแก่ประชาชน และสังคมไทย แต่บรรดาผู้ร่างกฏหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ไม่เคยแสดงออก ซึ่งความรับผิดชอบต่อ ประชาชน และสังคมไทยแต่อย่างใด
๓. รวมทั้ง ไม่เคยเสนอทางออกจาก กับดักทางรัฐธรรมนูญ ที่สร้างขึ้น โดยอาศัยปากของคนชั้นนำในสังคมไทย เป็นคนออกมาเป็นแนวหน้า ป่าวร้องให้ชาวบ้าน ผู้อ่อนด้อยทางการศึกษา เพราะ มีความรู้ไม่พอเพียง ให้เห็นด้วยกับ การร่างรัฐธรรมนูญ ในรูปลักษณ์เช่นนี้ ออกมาบังคับใช้
๔. การออกมาเขียน ให้ได้รับรู้กันโดยทั่วไปเช่นนี้ มิใช่เป็น สร้างข้อกล่าวหาในทางร้ายให้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ แต่อย่างใด ทั้งนี้ผม ได้นำเสนอเค้าโครงของ ร่างรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution) ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ได้ทำการศึกษาโดยเปรียบเทียบ กับ เค้าโครงของร่างรัฐธรรมนูญไทยฉบับดังกล่าวแล้ว ปรากฏ เป็นเค้าโครงร่างของ รัฐรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution) อยู่ในชุมชนแห่งเสรีภาพ (the Land of Liberty ที่ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน อาจไปดาวน์โหลดรูปภาพ ที่ว่านั้น มาศึกษาโดยเปรียบเทียบได้ โดยเสรี
๕. โดยที่ผม จะนำคำอรรถาอธิบายในส่วนต่างๆของ เค้าโครงของ ร่างรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution) ที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็น ผู้ร่างนำขึ้นใช้ โดยไม่ให้คำอรรถาอธิบายใดๆ มาอธิบาย และ ชี้ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ได้รับทราบ เป็นตอนๆในชุมชนแห่งเสรีภาพ (the Land of Liberty ต่อไป
๖. การนำเอาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ มาประกาศ และ บังคับใช้เป็นกฏหมายที่สำคัญ (ตราสารที่สำคัญ) ของชาติเช่นนี้ ย่อมไม่ต่างไปจากที่นายพลตีโต้ แห่งยูโกสลาเวีย ไปแก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งชาติของประเทศยูโกสลาเวีย ในปีค.ศ. 1963 และ
๗. มาแก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งชาติของ ประเทศยูโกสลาเวีย ในหนสุดท้ายในปีค.ศ. 1974 จนนำไปสู่ การล่มสลายของประเทศยูโกสลาเวีย ประเทศถูกแบ่งแยก เป็นประเทศเกิดใหม่ เพิ่มขึ้นอีก ๔ – ๕ ประเทศ (สโลวาเนีย, บอสเนีย เฮอร์เซโกวีน่า, รัฐเซริบส์ใหม่, โคโซโว่ รวมทั้ง มอนเตเนโกร และมาเซโดเนีย)
๘. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ นอกจากจะสร้างปัญหาให้กับ พี่น้องประชาชนคนไทย ทั้งประเทศ ผู้อ่อนด้อยทางปัญญา และ ความรู้ในเชิงวิชาการดังที่กล่าวมาแล้ว
๙. ยังเป็นการสร้างปัญหาแก่ การใช้อำนาจในทาง ที่อำนวยความยุติธรรม และใช้อำนาจในทางฝ่ายตุลาการ (the exercising of Judiciary) อย่างเกินกว่า ขอบอำนาจ (the Usurpation of Powers) ที่ควรมี ควรจะเป็น อีกทั้งยังเป็น การฝ่าฝืนต่อครรลอง อันชอบธรรมของ กฏเกณฑ์ของโลก (World Summit Outcome, 2005) และ
๑๐. ยังมีการใช้อำนาจ จากมาตรการ ที่วางไว้ตามรัฐธรรมนูญ "แบบ ตาบอด คลำช้าง" กลายเป็น การหยิบยื่น มาตรการทางอำนวยความยุติธรรม ในรูปแบบ ๒ มาตรฐาน โดย ผู้ที่ใช้อำนาจอำนวยความยุติธรรม ทั้งระบบ ไม่อาจรับรู้ หรือ มีความรู้สึกว่า การใช้อำนาจ เช่นว่านั้น ฝ่าฝืนต่อครรลองความชอบธรรมของโลก...................... (มีต่อ)
Thursday, October 1, 2015
วิบากกรรมของนายกยิ่งลักษณ์ โดย วัฒนา เมืองสุข
วิบากกรรมของนายกยิ่งลักษณ์
ผมอ่านข่าวนายกยิ่งลักษณ์เป็นโจทก์ฟ้องอดีตอัยการสูงสุด (นายตระกูล วินิจนัยภาค) กับพวกรวม 4 คน ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต่อมาอดีต อสส ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คส่วนตัวตอบโต้ทำนองว่า "คดีจำนำข้าวท่านต้องทำตามหน้าที่เพื่อแทนคุณแผ่นดิน" ผมเห็นว่าคดีนี้มีความผิดปกติในหลายเรื่องและหลายขั้นตอน ดังนี้
1. คดีนี้เป็นคดีแรกของประเทศไทยหรืออาจเป็นคดีแรกของโลกก็ได้ที่หัวหน้ารัฐบาล ถูกดำเนินคดีจากการดำเนินนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ การรับจำนำข้าวที่จริงคือการแทรกแซงตลาด (market intervention) ที่ทำกันมาทุกรัฐบาลรวมถึงรัฐบาล คสช ที่เพิ่งอนุมัติเงินงบประมาณไปแทรกแซงราคายางพารารวมถึงการอนุมัติเงินช่วย เหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท
2. การแทรกแซงตลาดเพื่อเป็นการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรให้สินค้า เกษตรได้รับผลตอบแทนสูงสุด เป็นแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่รัฐธรรมนูญปี 2550 บังคับให้รัฐต้องดำเนินการตามมาตรา 75 วรรคแรก มาตรา 84 และ 84(8) และถือเป็นนโยบายของ "คณะรัฐมนตรี" ที่ต้องแถลงต่อรัฐสภาตามมาตรา 75 วรรคสอง การดำเนินตามแนวนโยบายดังกล่าวจึงชอบและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการ คำถามคือถ้านโยบายนี้ผิดกฎหมายจนต้องถูกดำเนินคดี เหตุใดจึงดำเนินคดีกับนายกยิ่งลักษณ์เพียงคนเดียวทั้งที่เป็นนโยบายของคณะ รัฐมนตรี เหตุใดหัวหน้ารัฐบาลคนอื่นๆ ที่ช่วยเหลือเกษตรกรด้วยการแทรกแซงตลาดเหมือนกันรวมทั้งหัวหน้า คสช ด้วยกลับไม่ถูกดำเนินคดี
3. เมื่อ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวนมาให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีกับนายกยิ่งลักษณ์ ได้มีการตั้งคณะทำงานของอัยการรวม 10 คนเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้โดยมีรองอัยการสูงสุด (นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์พงศ์) เป็นหัวหน้า คณะทำงานเห็นว่าสำนวนที่ส่งมามีข้อไม่สมบูรณ์รวม 4 ประเด็นสำคัญ จึงมีหนังสือแจ้งข้อไม่สมบูรณ์ไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งก็ได้ตั้งคณะทำงานรวม 10 คนเท่ากับอัยการเพื่อมาหาข้อสรุปร่วมกัน ขั้นตอนนี้มีความแปลกประหลาดเกิดขึ้นคือ
(1) มีการนัดประชุมร่วมคณะทำงานสองฝ่ายครั้งแรก แต่หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายอัยการกับพวกรวม 7 ท่านไม่ทราบจึงไม่ได้ไปประชุม มีเพียงอัยการ 3 ท่านที่ถูกนายกยิ่งลักษณ์ฟ้องไปประชุมกับ ป.ป.ช. ทำให้ครบองค์ประชุม หากคณะทำงานของอัยการทุกท่านได้รับแจ้งจาก ป.ป.ช. โดยชอบแล้วตามที่ท่านอดีต อสส ชี้แจง ต้องถือว่าหัวหน้าคณะและอัยการรวม 7 ท่านที่ไม่ได้ไปประชุมมีความผิด ท่าน อสส ในขณะนั้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนและลงโทษอัยการทั้ง 7 ท่านนี้อย่างไรหรือปล่อยเลยตามเลยครับ
(2) คณะทำงานอัยการ 3 ท่านที่ไปประชุมกับฝ่าย ป.ป.ช. ไม่แปลกใจบ้างเลยหรือครับว่าทำไมหัวหน้าคณะและพรรคพวกรวม 7 ท่านไม่ได้ไปประชุมด้วย ในคดีสำคัญที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกกล่าวหาถ้าเป็นผมอย่างน้อยต้อง โทรตามหัวหน้าคณะหรือพรรคพวก ถ้าท่านเหล่านั้นไม่ทราบเรื่องก็ต้องขอเลื่อนการประชุมออกไป ผมว่าทุกคนในโลกคงทำแบบนี้เหมือนกัน
(3) ที่ประหลาดมากขึ้นก็คือทั้ง 3 ท่านที่ไปประชุมที่เคยเห็นร่วมกันแต่แรกว่าสำนวนมีความไม่สมบูรณ์กลับเห็น ตาม ป.ป.ช. ว่าสำนวนสมบูรณ์ที่จะฟ้องได้แล้วโดยไม่ต้องไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม แล้วเหตุใดเมื่อยื่นฟ้องไปแล้วจึงมาขอเพิ่มเติมพยานเอกสารที่อยู่นอกสำนวน อีก 67,800 แผ่น คดีสำคัญขนาดนี้ทำไมไม่ทำให้รอบคอบครบถ้วนแต่แรกครับ
(4) นอกจากความผิดปกติที่ผมกล่าวแล้ว คดีนี้ยังเป็นคดีแรกที่ อสส เรียกสำนวนไปจากอัยการคดีพิเศษที่มีหน้าที่รับผิดชอบคดีของ ป.ป.ช. โดยตรง เพื่อมอบให้สำนักงานคดีสืบสวนและสอบสวนที่มีท่านสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล เป็นอธิบดีและเป็นหนึ่งในสามท่านที่ไปประชุมเป็นผู้รับผิดชอบแทน
4. ความผิดปกติทั้งหมดช่างบังเอิญมาเกิดขึ้นภายหลังจากที่หัวหน้า คสช มีคำสั่งปลดท่านอรรถพล ใหญ่สว่าง ที่เป็นอัยการสูงสุดในขณะนั้นและแต่งตั้งให้ท่านอดีต อสส ที่ถูกนายกยิ่งลักษณ์ฟ้องมาเป็นแทน ซึ่งถ้าไม่มีการปลดท่านอรรถพลแล้วท่านอดีต อสส ที่ถูกฟ้องจะไม่มีโอกาสเป็น อสส เลย นี่ใช่มั้ยครับที่ท่านบอกว่าคือการแทนคุณแผ่นดิน
ด้วยความเคารพในองค์กรอัยการ
วัฒนา เมืองสุข
วิบากกรรมของนายกยิ่งลักษณ์ โดย วัฒนา เมืองสุข
วิบากกรรมของนายกยิ่งลักษณ์
ผมอ่านข่าวนายกยิ่งลักษณ์เป็นโจทก์ฟ้องอดีตอัยการสูงสุด (นายตระกูล วินิจนัยภาค) กับพวกรวม 4 คน ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต่อมาอดีต อสส ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คส่วนตัวตอบโต้ทำนองว่า "คดีจำนำข้าวท่านต้องทำตามหน้าที่เพื่อแทนคุณแผ่นดิน" ผมเห็นว่าคดีนี้มีความผิดปกติในหลายเรื่องและหลายขั้นตอน ดังนี้
1. คดีนี้เป็นคดีแรกของประเทศไทยหรืออาจเป็นคดีแรกของโลกก็ได้ที่หัวหน้ารัฐบาล ถูกดำเนินคดีจากการดำเนินนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ การรับจำนำข้าวที่จริงคือการแทรกแซงตลาด (market intervention) ที่ทำกันมาทุกรัฐบาลรวมถึงรัฐบาล คสช ที่เพิ่งอนุมัติเงินงบประมาณไปแทรกแซงราคายางพารารวมถึงการอนุมัติเงินช่วย เหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท
2. การแทรกแซงตลาดเพื่อเป็นการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรให้สินค้า เกษตรได้รับผลตอบแทนสูงสุด เป็นแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่รัฐธรรมนูญปี 2550 บังคับให้รัฐต้องดำเนินการตามมาตรา 75 วรรคแรก มาตรา 84 และ 84(8) และถือเป็นนโยบายของ "คณะรัฐมนตรี" ที่ต้องแถลงต่อรัฐสภาตามมาตรา 75 วรรคสอง การดำเนินตามแนวนโยบายดังกล่าวจึงชอบและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการ คำถามคือถ้านโยบายนี้ผิดกฎหมายจนต้องถูกดำเนินคดี เหตุใดจึงดำเนินคดีกับนายกยิ่งลักษณ์เพียงคนเดียวทั้งที่เป็นนโยบายของคณะ รัฐมนตรี เหตุใดหัวหน้ารัฐบาลคนอื่นๆ ที่ช่วยเหลือเกษตรกรด้วยการแทรกแซงตลาดเหมือนกันรวมทั้งหัวหน้า คสช ด้วยกลับไม่ถูกดำเนินคดี
3. เมื่อ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวนมาให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีกับนายกยิ่งลักษณ์ ได้มีการตั้งคณะทำงานของอัยการรวม 10 คนเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้โดยมีรองอัยการสูงสุด (นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์พงศ์) เป็นหัวหน้า คณะทำงานเห็นว่าสำนวนที่ส่งมามีข้อไม่สมบูรณ์รวม 4 ประเด็นสำคัญ จึงมีหนังสือแจ้งข้อไม่สมบูรณ์ไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งก็ได้ตั้งคณะทำงานรวม 10 คนเท่ากับอัยการเพื่อมาหาข้อสรุปร่วมกัน ขั้นตอนนี้มีความแปลกประหลาดเกิดขึ้นคือ
(1) มีการนัดประชุมร่วมคณะทำงานสองฝ่ายครั้งแรก แต่หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายอัยการกับพวกรวม 7 ท่านไม่ทราบจึงไม่ได้ไปประชุม มีเพียงอัยการ 3 ท่านที่ถูกนายกยิ่งลักษณ์ฟ้องไปประชุมกับ ป.ป.ช. ทำให้ครบองค์ประชุม หากคณะทำงานของอัยการทุกท่านได้รับแจ้งจาก ป.ป.ช. โดยชอบแล้วตามที่ท่านอดีต อสส ชี้แจง ต้องถือว่าหัวหน้าคณะและอัยการรวม 7 ท่านที่ไม่ได้ไปประชุมมีความผิด ท่าน อสส ในขณะนั้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนและลงโทษอัยการทั้ง 7 ท่านนี้อย่างไรหรือปล่อยเลยตามเลยครับ
(2) คณะทำงานอัยการ 3 ท่านที่ไปประชุมกับฝ่าย ป.ป.ช. ไม่แปลกใจบ้างเลยหรือครับว่าทำไมหัวหน้าคณะและพรรคพวกรวม 7 ท่านไม่ได้ไปประชุมด้วย ในคดีสำคัญที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกกล่าวหาถ้าเป็นผมอย่างน้อยต้อง โทรตามหัวหน้าคณะหรือพรรคพวก ถ้าท่านเหล่านั้นไม่ทราบเรื่องก็ต้องขอเลื่อนการประชุมออกไป ผมว่าทุกคนในโลกคงทำแบบนี้เหมือนกัน
(3) ที่ประหลาดมากขึ้นก็คือทั้ง 3 ท่านที่ไปประชุมที่เคยเห็นร่วมกันแต่แรกว่าสำนวนมีความไม่สมบูรณ์กลับเห็น ตาม ป.ป.ช. ว่าสำนวนสมบูรณ์ที่จะฟ้องได้แล้วโดยไม่ต้องไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม แล้วเหตุใดเมื่อยื่นฟ้องไปแล้วจึงมาขอเพิ่มเติมพยานเอกสารที่อยู่นอกสำนวน อีก 67,800 แผ่น คดีสำคัญขนาดนี้ทำไมไม่ทำให้รอบคอบครบถ้วนแต่แรกครับ
(4) นอกจากความผิดปกติที่ผมกล่าวแล้ว คดีนี้ยังเป็นคดีแรกที่ อสส เรียกสำนวนไปจากอัยการคดีพิเศษที่มีหน้าที่รับผิดชอบคดีของ ป.ป.ช. โดยตรง เพื่อมอบให้สำนักงานคดีสืบสวนและสอบสวนที่มีท่านสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล เป็นอธิบดีและเป็นหนึ่งในสามท่านที่ไปประชุมเป็นผู้รับผิดชอบแทน
4. ความผิดปกติทั้งหมดช่างบังเอิญมาเกิดขึ้นภายหลังจากที่หัวหน้า คสช มีคำสั่งปลดท่านอรรถพล ใหญ่สว่าง ที่เป็นอัยการสูงสุดในขณะนั้นและแต่งตั้งให้ท่านอดีต อสส ที่ถูกนายกยิ่งลักษณ์ฟ้องมาเป็นแทน ซึ่งถ้าไม่มีการปลดท่านอรรถพลแล้วท่านอดีต อสส ที่ถูกฟ้องจะไม่มีโอกาสเป็น อสส เลย นี่ใช่มั้ยครับที่ท่านบอกว่าคือการแทนคุณแผ่นดิน
ด้วยความเคารพในองค์กรอัยการ
วัฒนา เมืองสุข
ใกล้ครบรอบ 39 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 แต่เรื่องราวหกตุลายังไม่คลี่คลาย
การต่อต้านเผด็จการคสช. จะประทุแรงขึ้นเรื่อย ๆ
Wednesday, September 30, 2015
เศรฐกิจไทย
Tuesday, September 29, 2015
เห็นพิษสงของเผด็จการบ้าที่ดินหรือยังล่ะ
เห็นพิษสงของเผด็จการบ้าที่ดินหรือยังล่ะ
นายกยิ่งลักษณ์ ฟ้องกลไกเผด็จการ...มีอะไรต้องพิจารณา
การ ฟ้องคดีอาญาของ ท่านนายกรัฐมนตรี(หญิง) คนแรกของประเทศไทย ท่านยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันวาน และในวันนี้ มีผู้มาโพสต์ ข้อความดังต่อไปนี้:
"การฟ้องร้องของนายกปูในครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพื่อรักษาศักดิ์ศรี เพื่อการรุมกัดของเหล่าอธรรมทั้งหลาย ทั้ง ๆ ที่พวกมันก็รู้ว่า การกระทำที่ผ่านมานี้เป้นนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อสภาอันทรงเกียรติ แต่เหล่าหมาขี้เรื้อนพวกนี้ ต้องการให้นายกปูมีมลทินในเรื่องนี้ให้ได้ เพื่อจะนำมาเป็นชนักกดดันนายกปูในเรื่องต่าง ๆ เฉกเช่นเดียวกับนายกทักษิณในเรื่อง " ที่ดินรัชดา " จนไม่สามารถกลับมารับโทษที่โดนกลั่นแกล้งเช่นนี้ได้ดังนั้น การกระทำของนายกปูในครั้งนี้ พวกเราผู้รักความเป็นธรรม จะต้องช่วยแพร่ข่าวนี้ออกไปให้มาก และให้พวกเหล่าหมาขี้เรื้อนเหล่านั้น ได้รู้ว่า มึงรังแก " นายกปู " ไม่ได้หรอก
นี่เป็นเพียงมาตรการการต่อต้านของพวกเรา ในด่านแรกเท่านั้นครับ"
ผม ในฐานะนักกฏหมาย ขอเสนอข้อคิด เป็นการบ้านในเรื่องนี้ เพื่อความสุขุมรอบคอบ ดังต่อไปนี้:
๑. การออกคำสั่งฟ้อง ของอัยการสูงสุด และ เพื่อฟ้องนายกหญิงคนแรกของประเทศไทย คุณยิ่งลักษณ์ฯ นั้น ก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ฯ จะโต้กลับ ด้วยการฟ้องคดี เมื่อวันวานนี้ในคดีอาญา
๒.เพื่อความ รู้ที่เห็นแจ้ง และ สัมผัสได้ โดยชอบธรรม
๓. ผมต้องขอถามตรงนี้ว่า "มีการฟ้องเพื่อทำลาย ความชอบธรรมตามกฏหมายของ [คำสั่งฟ้อง] ของท่านอัยการสูงสุด แล้วหรือยัง?"
๔. ถ้ายัง ก็ต้องทำ เพราะ:
๕. การฟ้องคดีในทางอาญา คือการฟ้องคดี เพื่อกล่าวหาว่า ผู้ถูกฟ้อง กระทำความผิด ต่อ กฏหมายอาญา (กระบิลเมือง ถ้อยคำในยุคใช้กฏหมายอาญา ร.ศ. ๑๑๒ ของประเทศไทย)
๖. ความชอบธรรม ตามกฏหมายของตัว "คำสั่งฟ้อง" ของท่านอัยการสูงสุด ยังมีอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
๗. แล้วพวกท่านไม่กลัว ท่านอัยการสูงสุด เขา จะฟ้องโต้กลับว่า "คุณยิ่งลักษณ์ฯ ไปฟ้องเขา เป็นความผิดทางอาญาบ้างเลยหรือไร?"
๘. ที่ท่าน ตั้งญัตติ ในเชิงถามความเห็นมา ผมจึงต้องขอติง เพื่อให้ทุกๆท่าน ช่วยกันระแวดระวัง แก่ท่านนายกฯหญิง ยิ่งลักษณ์ด้วยครับ.
นายกยิ่งลักษณ์ ฟ้องกลไกเผด็จการ...มีอะไรต้องพิจารณา
การ ฟ้องคดีอาญาของ ท่านนายกรัฐมนตรี(หญิง) คนแรกของประเทศไทย ท่านยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันวาน และในวันนี้ มีผู้มาโพสต์ ข้อความดังต่อไปนี้:
"การฟ้องร้องของนายกปูในครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพื่อรักษาศักดิ์ศรี เพื่อการรุมกัดของเหล่าอธรรมทั้งหลาย ทั้ง ๆ ที่พวกมันก็รู้ว่า การกระทำที่ผ่านมานี้เป้นนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อสภาอันทรงเกียรติ แต่เหล่าหมาขี้เรื้อนพวกนี้ ต้องการให้นายกปูมีมลทินในเรื่องนี้ให้ได้ เพื่อจะนำมาเป็นชนักกดดันนายกปูในเรื่องต่าง ๆ เฉกเช่นเดียวกับนายกทักษิณในเรื่อง " ที่ดินรัชดา " จนไม่สามารถกลับมารับโทษที่โดนกลั่นแกล้งเช่นนี้ได้ดังนั้น การกระทำของนายกปูในครั้งนี้ พวกเราผู้รักความเป็นธรรม จะต้องช่วยแพร่ข่าวนี้ออกไปให้มาก และให้พวกเหล่าหมาขี้เรื้อนเหล่านั้น ได้รู้ว่า มึงรังแก " นายกปู " ไม่ได้หรอก
นี่เป็นเพียงมาตรการการต่อต้านของพวกเรา ในด่านแรกเท่านั้นครับ"
ผม ในฐานะนักกฏหมาย ขอเสนอข้อคิด เป็นการบ้านในเรื่องนี้ เพื่อความสุขุมรอบคอบ ดังต่อไปนี้:
๑. การออกคำสั่งฟ้อง ของอัยการสูงสุด และ เพื่อฟ้องนายกหญิงคนแรกของประเทศไทย คุณยิ่งลักษณ์ฯ นั้น ก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ฯ จะโต้กลับ ด้วยการฟ้องคดี เมื่อวันวานนี้ในคดีอาญา
๒.เพื่อความ รู้ที่เห็นแจ้ง และ สัมผัสได้ โดยชอบธรรม
๓. ผมต้องขอถามตรงนี้ว่า "มีการฟ้องเพื่อทำลาย ความชอบธรรมตามกฏหมายของ [คำสั่งฟ้อง] ของท่านอัยการสูงสุด แล้วหรือยัง?"
๔. ถ้ายัง ก็ต้องทำ เพราะ:
๕. การฟ้องคดีในทางอาญา คือการฟ้องคดี เพื่อกล่าวหาว่า ผู้ถูกฟ้อง กระทำความผิด ต่อ กฏหมายอาญา (กระบิลเมือง ถ้อยคำในยุคใช้กฏหมายอาญา ร.ศ. ๑๑๒ ของประเทศไทย)
๖. ความชอบธรรม ตามกฏหมายของตัว "คำสั่งฟ้อง" ของท่านอัยการสูงสุด ยังมีอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
๗. แล้วพวกท่านไม่กลัว ท่านอัยการสูงสุด เขา จะฟ้องโต้กลับว่า "คุณยิ่งลักษณ์ฯ ไปฟ้องเขา เป็นความผิดทางอาญาบ้างเลยหรือไร?"
๘. ที่ท่าน ตั้งญัตติ ในเชิงถามความเห็นมา ผมจึงต้องขอติง เพื่อให้ทุกๆท่าน ช่วยกันระแวดระวัง แก่ท่านนายกฯหญิง ยิ่งลักษณ์ด้วยครับ.
ประยุทธ์ กับประธาน จี.77 เกียรติยศ หรือความอัปยศ ?
ประยุทธ์ กับประธาน จี.77 เกียรติยศ หรือความอัปยศ ?
สิ่งที่คนไทยต้องรู้
-ระยะนี้ ไม่ว่าทางรัฐบาล เช่น เสธ.ไก่อู,สื่อสารมวลชน ตลอดจนผู้สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้งทุกเว็บไซด์ของสลิ่ม ต่างออกมายกย่องชื่นชมท่านกันทุกวันที่สามารถทำให้ไทยได้เป็นประธาน จี.77 ในปีหน้า
ความจริง ผมไม่อยากขัดคอท่านหรอกครับ เห็นสลิ่มโพสต์เชิดชูท่านเหลือเกินก็ได้แต่ทำเฉยๆไว้ เพราะทุกวันนี้ก็ถูกเพ่งเล็ง ถูกคุกคามอยู่บ่อยๆแล้ว แต่มาเห็นการให้สัมภาษณ์ของท่านวันก่อนตามลิงค์นี้แล้ว ยอมรับว่า เหลือทนกับความเป็นตัวตนของท่านจนทนไม่ไหวจริงๆ
ท่านกล่าวถึงกรณีที่ประเทศสมาชิกกลุ่มจี 77 รับรองให้ประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม สำหรับวาระปี 2559 ว่า
"ทางกลุ่มจี 77 มีการพูดคุยเรื่องความยากจนและความยั่งยืน การคัดเลือกจะเลือกจากประเทศที่มีประสบการณ์ และประเทศที่ประสบความสำเร็จซึ่งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการลดความยากจนลงในปี 2543 กว่าร้อยละ 40"
ท่านพูดถูก แต่พูดไม่หมดครับ เพราะจากรายงานของ World Bank,THAILAND ECONOMIC MONITOR NOVEMBER 2005 ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลหลักที่กลุ่ม G77 ใช้เป็นข้อมูลศึกษา มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ทั้งในหน้า 6 และหน้า 14 ว่า
-The poverty headcount ratio in Thailand fell by 10 percentage-points from 2000 to 2004. It fell from 21 percent of population
below the poverty-line in 2000 to 11 percent in 2004 . The largest gain was from the Northeast , though North did pretty well too.
The rise in household incomes, especially agricultural incomes, has contributed to the reduction in poverty.
As the majority of the poor reside in the rural areas and are engaged in agricultural activities, the double digit
rise in farm incomes since 2002 had contributed to poverty alleviation. From 2000 to 2004,
agricultural incomes have risen by 40 percent, higher than the rise in any other forms of income.
http://siteresources.worldbank.org/…/2005nov-econ-full-repo…
คร่าวๆก็คือ
-อัตราความยากจนในประเทศไทยลดลงร้อยละ 10 จุด จากปี 2543 ถึงปี 2547 ลดลงจาก 21 เปอร์เซ็นต์ของประชากรต่ำกว่าเส้นความยากจน
ในปี 2543 เป็นร้อยละ 11 ในปี 2547 ที่มากสุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ
การเพิ่มขึ้นของรายได้ครัวเรือน โดยเฉพาะรายได้ทางการเกษตรได้มีส่วนร่วมในการลดความยากจนของคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท
รายได้เริ่มเพิ่มขึ้นกับเกษตรกรตั้งแต่ปี 2545 และ จากปี 2543 ถึงปี 2547
รายได้ทางการเกษตรได้เพิ่มขึันถึงร้อยละ 40 สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ในรูปแบบอื่นๆ
เห็นคำพูดท่านประยุทธ์หรือยังครับ ท่านบอกที่ได้รับคัดเลือกเพราะ "ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการลดความยากจนลงในปี 2543 กว่าร้อยละ 40"
ท่านลืมหรือไม่ทราบกันแน่ว่า ในปี 2543 นั้น เป็นสมัยปลายรัฐบาลของคุณชวน หลีกภัย ที่ถูกพายุเศรษฐกิจกระหนํ่าจนล้มควํ่า ล้มหงาย ทั้งจากเศรษฐกิจฟองสบู่สมัยพล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ และคดี ปรส.อันอื้อฉาว จนต้องยุบสภาไปตอนต้นปี 2544 (6 ก.พ.) ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความยากจนของท่านทักษิณแม้แต่น้อย
ความดีความชอบในการลดความยากจนที่ประสบความสำเร็จจนกลุ่ม G77 ชื่นชมและมีมติให้ไทยเป็นประธานฯในปีหน้านั้น เกิดขึ้นเพราะผลงานของท่านทักษิณ (2544-2549)โดยแท้แน่นอน ไม่มีข้อสงสัย
แต่เพราะความอิจฉา ริษยา กลัวท่านทักษิณจะได้หน้า เลยพูดกั๊กไว้ว่า พ.ศ. 2543 เรียกว่าเจตนา ชุบมือเปิบ เอาความดีความชอบของท่านทักษิณ คนที่ท่านชอบให้ร้าย มาเป็นของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย
ถามจริงๆครับ ฟังท่านประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ตามลิงค์นี้แล้ว ฝ่ายรัฐบาล สื่อที่ชอบเชลียร์ และสลิ่มทั้งหลาย ท่านภูมิอกภูมิใจในตำแหน่งประธาน G77 กับตัวพล.อ.ประยุทธ์ กันมากหรือครับ
สำหรับผม การชุบมือเปิบอย่างไม่ละอายนั้น ชายชาติทหารเค้าไม่ทำกันครับ
ประยุทธ์ กับประธาน จี.77 เกียรติยศ หรือความอัปยศ ?
ประยุทธ์ กับประธาน จี.77 เกียรติยศ หรือความอัปยศ ?
สิ่งที่คนไทยต้องรู้
-ระยะนี้ ไม่ว่าทางรัฐบาล เช่น เสธ.ไก่อู,สื่อสารมวลชน ตลอดจนผู้สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้งทุกเว็บไซด์ของสลิ่ม ต่างออกมายกย่องชื่นชมท่านกันทุกวันที่สามารถทำให้ไทยได้เป็นประธาน จี.77 ในปีหน้า
ความจริง ผมไม่อยากขัดคอท่านหรอกครับ เห็นสลิ่มโพสต์เชิดชูท่านเหลือเกินก็ได้แต่ทำเฉยๆไว้ เพราะทุกวันนี้ก็ถูกเพ่งเล็ง ถูกคุกคามอยู่บ่อยๆแล้ว แต่มาเห็นการให้สัมภาษณ์ของท่านวันก่อนตามลิงค์นี้แล้ว ยอมรับว่า เหลือทนกับความเป็นตัวตนของท่านจนทนไม่ไหวจริงๆ
ท่านกล่าวถึงกรณีที่ประเทศสมาชิกกลุ่มจี 77 รับรองให้ประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม สำหรับวาระปี 2559 ว่า
"ทางกลุ่มจี 77 มีการพูดคุยเรื่องความยากจนและความยั่งยืน การคัดเลือกจะเลือกจากประเทศที่มีประสบการณ์ และประเทศที่ประสบความสำเร็จซึ่งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการลดความยากจนลงในปี 2543 กว่าร้อยละ 40"
ท่านพูดถูก แต่พูดไม่หมดครับ เพราะจากรายงานของ World Bank,THAILAND ECONOMIC MONITOR NOVEMBER 2005 ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลหลักที่กลุ่ม G77 ใช้เป็นข้อมูลศึกษา มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ทั้งในหน้า 6 และหน้า 14 ว่า
-The poverty headcount ratio in Thailand fell by 10 percentage-points from 2000 to 2004. It fell from 21 percent of population
below the poverty-line in 2000 to 11 percent in 2004 . The largest gain was from the Northeast , though North did pretty well too.
The rise in household incomes, especially agricultural incomes, has contributed to the reduction in poverty.
As the majority of the poor reside in the rural areas and are engaged in agricultural activities, the double digit
rise in farm incomes since 2002 had contributed to poverty alleviation. From 2000 to 2004,
agricultural incomes have risen by 40 percent, higher than the rise in any other forms of income.
http://siteresources.worldbank.org/…/2005nov-econ-full-repo…
คร่าวๆก็คือ
-อัตราความยากจนในประเทศไทยลดลงร้อยละ 10 จุด จากปี 2543 ถึงปี 2547 ลดลงจาก 21 เปอร์เซ็นต์ของประชากรต่ำกว่าเส้นความยากจน
ในปี 2543 เป็นร้อยละ 11 ในปี 2547 ที่มากสุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ
การเพิ่มขึ้นของรายได้ครัวเรือน โดยเฉพาะรายได้ทางการเกษตรได้มีส่วนร่วมในการลดความยากจนของคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท
รายได้เริ่มเพิ่มขึ้นกับเกษตรกรตั้งแต่ปี 2545 และ จากปี 2543 ถึงปี 2547
รายได้ทางการเกษตรได้เพิ่มขึันถึงร้อยละ 40 สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ในรูปแบบอื่นๆ
เห็นคำพูดท่านประยุทธ์หรือยังครับ ท่านบอกที่ได้รับคัดเลือกเพราะ "ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการลดความยากจนลงในปี 2543 กว่าร้อยละ 40"
ท่านลืมหรือไม่ทราบกันแน่ว่า ในปี 2543 นั้น เป็นสมัยปลายรัฐบาลของคุณชวน หลีกภัย ที่ถูกพายุเศรษฐกิจกระหนํ่าจนล้มควํ่า ล้มหงาย ทั้งจากเศรษฐกิจฟองสบู่สมัยพล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ และคดี ปรส.อันอื้อฉาว จนต้องยุบสภาไปตอนต้นปี 2544 (6 ก.พ.) ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความยากจนของท่านทักษิณแม้แต่น้อย
ความดีความชอบในการลดความยากจนที่ประสบความสำเร็จจนกลุ่ม G77 ชื่นชมและมีมติให้ไทยเป็นประธานฯในปีหน้านั้น เกิดขึ้นเพราะผลงานของท่านทักษิณ (2544-2549)โดยแท้แน่นอน ไม่มีข้อสงสัย
แต่เพราะความอิจฉา ริษยา กลัวท่านทักษิณจะได้หน้า เลยพูดกั๊กไว้ว่า พ.ศ. 2543 เรียกว่าเจตนา ชุบมือเปิบ เอาความดีความชอบของท่านทักษิณ คนที่ท่านชอบให้ร้าย มาเป็นของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย
ถามจริงๆครับ ฟังท่านประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ตามลิงค์นี้แล้ว ฝ่ายรัฐบาล สื่อที่ชอบเชลียร์ และสลิ่มทั้งหลาย ท่านภูมิอกภูมิใจในตำแหน่งประธาน G77 กับตัวพล.อ.ประยุทธ์ กันมากหรือครับ
สำหรับผม การชุบมือเปิบอย่างไม่ละอายนั้น ชายชาติทหารเค้าไม่ทำกันครับ
ชูวิทย์ ว่าด้วยกรณีระเบิดราชประสงค์: "ไอ้อ๊อด กับ ไอ้ปื๊ด"
ชูวิทย์ ว่าด้วยกรณีระเบิดราชประสงค์: "ไอ้อ๊อด กับ ไอ้ปื๊ด"
ความกระจอกและห่วยแตกของเสธน้ำเงิน (กระบอกอุจจาระของฝั่งทหารพระราชา)
ความกระจอกและห่วยแตกของเสธน้ำเงิน (กระบอกอุจจาระของฝั่งทหารพระราชา)
แผ่นดินประเทศไทยอยู่ในมือใครบ้าง?
อันดับ 1 คือ
- ตระกูลสิริวัฒนภักดี ถือครองกว่า 630,000 ไร่ทั้งในนามส่วนตัว ครอบครัว และผ่านบริษัทต่างๆ โดยหนึ่งในที่ดินแปลงใหญ่ที่ตระกูลสิริวัฒนภักดีครอบครองกรรมสิทธิ์อยู่ในบริเวณอ.ชะอำ จ.เพชรบุรีรวมประมาณ 12,000 ไร่ ที่ดินใน อ.บางบาลจ.พระนครศรีอยุธยา อีกประมาณ 15,000 ไร่
- อันดับ 2 คือ ตระกูลเจียรวนนท์ ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ประธานกรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ธุรกิจการเกษตรครบวงจรในนามกลุ่ม ซีพี ธุรกิจพัฒนาที่ดินในนาม ซี.พี.แลนด์ และกลุ่มแมกโนเลียส์ ธุรกิจโทรคมนาคมทรู คอร์ปอเรชั่น ถือครองที่ดินในมือไม่ต่ำกว่า 200,000 ไร่ โดยแปลงใหญ่อยู่ที่จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 10,000 ไร่
- อันดับ 3 คือบมจ.สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ดำเนินธุรกิจด้านน้ำมันปาล์มรายใหญ่ในภาคใต้ ถือครองที่ดินกว่า 44,400ไร่
- อันดับ 4คือ สำนักงานทรัพย์สินฯ จำนวน 30,000 ไร่
- อันดับ 5 คือบมจ.ไออาร์พีซี จำนวน 17,000 ไร่
- อันดับ 6 คือ ตระกูลมาลีนนท์ จำนวน 10,000 ไร่
- อันดับ 7 คือ นายแพทย์บุญ วนาสิน จำนวน 10,000 ไร่
- อันดับ 8 คือวิชัย พูลวรลักษณ์ จำนวน 7,000 ไร่
- อันดับ 9 คือ ตระกูลเตชะณรงค์ จำนวน 5,000 ไร่อันดับ 10 คือ
- ตระกูลจุฬางกูรจำนวน 5,000 ไร่
ส่วนในกลุ่มนักการเมือง
จากผลการศึกษา
พบว่าผู้ที่ถือครองที่ดิน
รายใหญ่ของประเทศ ดังนี้
- อันดับ 1 คือ นายอำนาจ คลังผา อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถือครอง 2,030 ไร่
- อันดับ 2 คือ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี มี 2,000 ไร่
- อันดับ 3 คือนายเสนาะ และนางอุไรวรรณ เทียนทองมี 1,900 ไร่
- อันดับ 4 คือนายอนุชา บูรพชัยศรี มี 1,284 ไร่
- อันดับ 5 คือ นายอดิศักดิ์ โภคสกุลนานนท์มี 1,197 ไร่
- อันดับ 6 คือนายทศพร เทพบุตร ถือครองที่ดิน 1,095 ไร่
- อันดับ 7 คือ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดีมี 1,095 ไร่
- อันดับ 8 คือนายสุชน ชามพูนท มี 1,060 ไร่
- อันดับ 9 คือนายชัย ชิดชอบ และภรรยา 854 ไร่
- อันดับ 10 คือ นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ มี 755 ไร่
แผ่นดินประเทศไทยอยู่ในมือใครบ้าง?
อันดับ 1 คือ
- ตระกูลสิริวัฒนภักดี ถือครองกว่า 630,000 ไร่ทั้งในนามส่วนตัว ครอบครัว และผ่านบริษัทต่างๆ โดยหนึ่งในที่ดินแปลงใหญ่ที่ตระกูลสิริวัฒนภักดีครอบครองกรรมสิทธิ์อยู่ในบริเวณอ.ชะอำ จ.เพชรบุรีรวมประมาณ 12,000 ไร่ ที่ดินใน อ.บางบาลจ.พระนครศรีอยุธยา อีกประมาณ 15,000 ไร่
- อันดับ 2 คือ ตระกูลเจียรวนนท์ ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ประธานกรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ธุรกิจการเกษตรครบวงจรในนามกลุ่ม ซีพี ธุรกิจพัฒนาที่ดินในนาม ซี.พี.แลนด์ และกลุ่มแมกโนเลียส์ ธุรกิจโทรคมนาคมทรู คอร์ปอเรชั่น ถือครองที่ดินในมือไม่ต่ำกว่า 200,000 ไร่ โดยแปลงใหญ่อยู่ที่จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 10,000 ไร่
- อันดับ 3 คือบมจ.สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ดำเนินธุรกิจด้านน้ำมันปาล์มรายใหญ่ในภาคใต้ ถือครองที่ดินกว่า 44,400ไร่
- อันดับ 4คือ สำนักงานทรัพย์สินฯ จำนวน 30,000 ไร่
- อันดับ 5 คือบมจ.ไออาร์พีซี จำนวน 17,000 ไร่
- อันดับ 6 คือ ตระกูลมาลีนนท์ จำนวน 10,000 ไร่
- อันดับ 7 คือ นายแพทย์บุญ วนาสิน จำนวน 10,000 ไร่
- อันดับ 8 คือวิชัย พูลวรลักษณ์ จำนวน 7,000 ไร่
- อันดับ 9 คือ ตระกูลเตชะณรงค์ จำนวน 5,000 ไร่อันดับ 10 คือ
- ตระกูลจุฬางกูรจำนวน 5,000 ไร่
ส่วนในกลุ่มนักการเมือง
จากผลการศึกษา
พบว่าผู้ที่ถือครองที่ดิน
รายใหญ่ของประเทศ ดังนี้
- อันดับ 1 คือ นายอำนาจ คลังผา อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถือครอง 2,030 ไร่
- อันดับ 2 คือ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี มี 2,000 ไร่
- อันดับ 3 คือนายเสนาะ และนางอุไรวรรณ เทียนทองมี 1,900 ไร่
- อันดับ 4 คือนายอนุชา บูรพชัยศรี มี 1,284 ไร่
- อันดับ 5 คือ นายอดิศักดิ์ โภคสกุลนานนท์มี 1,197 ไร่
- อันดับ 6 คือนายทศพร เทพบุตร ถือครองที่ดิน 1,095 ไร่
- อันดับ 7 คือ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดีมี 1,095 ไร่
- อันดับ 8 คือนายสุชน ชามพูนท มี 1,060 ไร่
- อันดับ 9 คือนายชัย ชิดชอบ และภรรยา 854 ไร่
- อันดับ 10 คือ นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ มี 755 ไร่