Saturday, January 2, 2016
วิเคราะห์ // จับตา “ทักษิณ” ถอย ส่งสัญญาณเอาด้วยรัฐบาลแห่งชาติ โดย นาย อาสาหาข่าว
ดร. เพียงดิน รักไทย 3 ม.ค. 2559 ตอน อ่านเกม "ดร. ทักษิณ ชินวัตร" ในปีวอก 2559
ดร. เพียงดิน รักไทย 3 ม.ค. 2559 ตอน อ่านเกม "ดร. ทักษิณ ชินวัตร" ในปีวอก 2559
หรือ
----------------------
สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน
----------------------
สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน
ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้
หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt
ปีใหม่อย่าโง่กว่าปีเก่า โดย พระพยอม กัลยาโณ
คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ เรา มีปีใหม่ไว้เพื่ออะไรกัน ถ้ามีไว้เพื่อสนุกสนานก็คงจะไม่วิเศษวิโสไปกว่าเดรัจฉาน ซึ่งเผลอๆก็ไม่ได้สนใจปีใหม่ อยู่ไปตามธรรมชาติไม่สิ้นเปลืองอะไรด้วย ไม่มีการกินเลี้ยงปีใหม่ คนเราบางทีทำซะเกินจนกลายเป็นปัญหาที่คาดไม่ถึง ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่กันจนรถแน่น รถติด อุบัติเหตุก็มากกว่าช่วงอื่น บาง คนว่าช่วงปีใหม่เป็นช่วงวันเมาแห่งชาติ วันผลาญสติ ประทุษร้ายสติแห่งชาติ แต่ละปีก็เห็นอุบัติเหตุมากขึ้น แม้จะมีการรณรงค์ทั้งวันปีใหม่ วันสงกรานต์ แต่ก็เห็นตายกันมากมายก่ายกองทุกปี เพราะว่าเรากินเกิน ใช้เกิน ตายกันมากขนาดนั้น เมากันมากขนาดนั้น กินบ้าบออะไรชนิดที่ไม่มีสติปัญญาจะเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำพวกนี้ได้เลย จะ บอกว่าเป็นพวกมนุษย์อันประเสริฐ ถ้าเป็นมนุษย์ประเสริฐจริงคงไม่ต้องกินจนเตลิดเปิดเปิงกันขนาดนั้น ควรจะทำอะไร คิดอะไรที่เป็นไปในทางสร้างสรรค์ ในทางเจริญกว่าเก่า อย่างที่หลวงพ่อพุทธทาสท่านเขียนติดไว้ที่วัดสวนโมกข์ว่า "ปีใหม่อย่าให้โง่กว่าปีเก่า" โง่อะไรกันบ้างในปีใหม่ ก็โง่บันเทิง เราโง่หลงบันเทิง เดี๋ยวนี้ความบันเทิงมีหลายระดับ ระดับที่เป็นหยาบๆก็มี เช่น ขวิดควาย ชนวัว ตีไก่ นักมวยเด็กก็เอามาสู้กันแล้วก็เกิดความบันเทิง สนุกสนาน อ้างว่าเป็นการกีฬาบ้าง อนุรักษ์บ้าง อยากจะฝากว่าอย่าโง่เรื่องบันเทิง คนที่เขามาทำให้เราสนุกบางทีชีวิตเขาทุกข์จะตาย อย่าคิดถึงความ บันเทิงที่เขาเล่นให้ดู ต้องนึกถึงพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ไปดูละคร ฟ้อนรำ เสร็จแล้วท่านก็พิจารณาไป ซึ่งมันไม่ได้เรื่องเลย ดูเขาเล่นแล้วเข้าหลังโรงก็จบ แต่เราถูกฉกเวลาไว้กับความบันเทิง หมดเวลาไปกับความบันเทิง อีกเรื่องก็คือ อย่าโง่สิ่งยั่วยวน คนแก่ๆไปทำอะไรไม่ดีกับเด็กแล้วก็บอกว่าเด็กมันยั่ว ทั้งๆที่ตัวเองแก่แล้วทำไมไม่ฝึกอดทนต่อการยั่วบ้าง ถ้าฉลาดต่อการยั่วยวนไม่พูดหรอกว่าเด็กมันยั่ว การโฆษณาขายของ เอาดารามากินยั่วจนทนไม่ไหว เห็นดารากินก็กินกับเขาบ้าง แม้แต่ชาวไร่ชาวนาก็ยังโดนโฆษณาทางวิทยุ โทรทัศน์ ไปซื้อปุ๋ยปลอม ยาปลอมมาใช้ นี่แหละเป็นผลของการยั่ว อีกตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ควรจะ โง่เลย ก็พวกใหญ่ๆโตๆที่โง่ต่ออำนาจ โง่ต่อตำแหน่ง คนมีอำนาจก็ต้องระวัง ได้อำนาจแล้วอย่าใช้เกียรติยศไปสร้างความอัปยศ บางคนมีตำแหน่งดีๆอยู่แล้ว เงินเดือนก็เยอะแล้ว ยังจะรีด จะไถ จะโกง จะกิน จนอัปยศเป็นข่าวคาวฉาวโฉ่อะไรอย่างนี้ มีอำนาจ ตำแหน่งสูงขนาดนี้ ยังหิวกระหายอยากได้เล็กได้น้อย จนกลายเป็นว่าเสียหายเมื่อตอนบั้นปลายชีวิต ทั้งๆที่เคยจับเขาใส่กุญแจมือมานับไม่ถ้วน ต่อมากลับถูกจับใส่กุญแจมือเสียเอง ยังไงผู้ที่มีอำนาจทั้งหลาย พอได้อำนาจแล้วอย่าหิวกระหายลาภผล สิ่งตอบแทนอะไรมากนัก ส่วนคนที่ยังไม่ได้ก็อย่ากระหายอยากได้ ลงแข่งขัน ทุ่มเงินทุ่มทองอะไรกันมากมาย ขอให้อยู่อย่างคนที่ไม่กระหายต่ออำนาจจะสบายกว่าเยอะเลย เจริญพร ที่มา http://www.lokwannee.com/web2013/?p=194754 |
|
เปิดชื่อ“เจ้าสัว”ขับเคลื่อนโครงการรัฐ | เดลินิวส์
„เปิดชื่อ"เจ้าสัว"ขับเคลื่อนโครงการรัฐ ตั้ง "รมต.-เจ้าสัว" ประธานร่วมขับเคลื่อนโครงการรัฐ ผ่านครม. 12 คณะทำงาน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เชื่อมความร่วมมือรัฐทำงานร่วมเอกชนพัฒนาประเทศ วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2558 เวลา 18:00 น. พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงการจัดตั้งคณะกรรมการภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจได้นำรายชื่อคณะกรรมการดังกล่าวให้กับที่ประชุมครม.เห็นชอบเป็น ที่เรียบร้อยแล้ว แบ่งคณะทำงานย่อยออกเป็น12 ชุดและดึงผู้บริหารของบริษัทใหญ่ๆ เข้ามาเป็นประธานร่วมกับรัฐมนตรีจากแต่ละกระทรวงเพื่อขับเคลื่อนโครงการด้าน ต่างๆ ของรัฐบาลให้เกิดผลสำเร็จ สำหรับรายชื่อของเอกชนที่เข้ามาเป็นประธานร่วมกับภาครัฐนั้นมีทั้ง นายกานต์ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย นายชาติศิริ โสภณพนิชกรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)นายฐาปน สิริวัฒนภักดี บมจ.ไทยเบฟเวอเรจและนายสนั่น อังอุบลกุลประธานกรรมการบมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหารบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นต้น ทั้งนี้ในส่วนของคณะทำงานย่อย12ชุด ประกอบด้วยคณะทำงานด้านการยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ ,คณะทำงานด้านการดึงดูดการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ,คณะ ทำงานด้านการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและวิสาหกิจเริ่มต้น,คณะ ทำงานด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ,คณะทำงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและ ประชารัฐ,คณะทำงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและส่งเสริมอุตสาหกรรมการ ประชุมและจัดนิทรรศการ(ไมซ์) รวมทั้งคณะทำงานด้านการส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ ,คณะทำงานด้านพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคตคณะทำงานด้านการปรับแก้ กฎหมายและกลไกภาครัฐ ,คณะทำงานด้านการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่,คณะทำงานด้านการศึกษาพื้นฐานและการ พัฒนาผู้นำและคณะทำงานด้านการสร้างรายได้และการกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศ"
อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/economic/367454
Thursday, December 31, 2015
ตัวอย่างหลักฐานที่ภูมิพลฆ่าพี่ชาย มีดังนี้
ตัวอย่างหลักฐานที่ภูมิพลฆ่าพี่ชาย มีดังนี้
1. วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกมหาลัยเยล "The United States and the Military Government of Thailand" (1993) Daniel Mark Fineman
หวังว่าคงไม่มีใครแถนะคะว่านี่เป็นเรื่องไม่จริง เพราะวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก มีการเช็คหลักฐานอ้างอิงทุกหลักฐาน ถ้าเขียนอะไรตอแหลลงไปในวิทยานิพนธ์แม้แต่ประโยคเดียว ก็จะต้องถูกปรับตกทันที แล้วทำไมนายโดนัลด์ ที่เขียนว่าภูมิพลทำปืนลั่นใส่หัวพี่ชาย ถึงได้ปริญญาเอกมาจากมหาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของอเมริกาได้? ก็แปลว่ามหาลัยเขาเช็คข้อมูลแล้วไงว่าเรื่องจริง เขาถึงกล้าให้ปริญญาเอก แล้วยังพิมพ์หนังสือเขาเอาไปใช้เป็นหนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ไทยด้วย วิทยานิพนธ์ของนายโดนัลด์ ได้เอาไปตีพิมพ์เป็นหนังสือ A Special Relationship: The United States and the Military Government in Thailand พิมพ์โดย University of Hawaii Press (1997)
2. หลักฐานลับจากสถานทูตอเมริกา USNA, Memorandum of Conversation by Stanton, March 31, 1948, 892.00/3-3148, RG 59 เป็นไฟล์ลับที่ทูตอเมริกา คุยกับ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ว่าเป็นการเล่นปืนกัน แล้วไอ้บอดทำอุบัติเหตุปืนลั่นใส่หัวพี่ชายมัน แต่ว่ารัฐบาลไทยต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ซึ่งสอดคล้องกันกับจดหมายของปรีดี พนมยงค์ ที่เขียนถึง จอมพล ป.พิบูลสงคราม ตอนที่จอมพล ป. คิดจะรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใหม่ ว่า ในวันเกิดเหตุ ตอน 9 โมงเช้า นายบุศย์ ปัทมศริน ที่เฝ้าห้องนอนของ ร 8 อยู่ เห็นภูมิพลเดินเข้าไปในห้องของกษัตริย์อานันท์ และเมื่อเสียงปืนดังขึ้น ทั้งสองจึงวิ่งเข้าไปในห้อง แล้วเห็นภูมิพลนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียง นี่เป็นสิ่งที่นายบุศย์ บอก พล ตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ในวันที่ตัวเองถูกประหารชีวิต
3. หนังสือ The Revolutionary King โดย William Stevenson หน้า 128 ผู้เขียน เขียนว่า เมื่อรัฐบาลไทยต้องการส่งภูมิพลไปเรียนต่อที่มหาลัย ออกซ์ฟอร์ด และขอเข้าเฝ้า กษัตริย์จอร์จที่ 6 ตอนไปถึงอังกฤษ กษัตริย์จอร์จตอบรัฐบาลไทยมาว่า วังบัคกิงแฮมของเรา ไม่ต้อนรับฆาตกร และไม่ยอมช่วยให้ภูมิพลเข้าเรียนออกซฟอร์ดได้ ภูมิพลจึงต้องไปเรียนที่สวิสแทน ถ้าคนเขียน เขียนเรื่องโกหกลงไป ขอถามว่า จนป่านนี้ ทำไมรัฐบาลไทย ไม่เคยไปฟ้องร้องสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้?? ถ้าสิ่งที่เขาเขียนเป็นเรื่องไม่จริง สามารถฟ้องหมิ่นประมาทได้ ทำไมถึงไม่ยอมไปฟ้อง??
Thailand: Enforced disappearance is not a crime
FOR IMMEDIATE RELEASE
AHRC-STM-208-2015
December 31, 2015
A Statement by the Asian Human Rights Commission
Thailand: Enforced disappearance is not a crime
On Tuesday, the Supreme Court affirmed the appellate court verdict of not guilty in relation to the five police officers accused in relation to the disappearance of Mr. Neelapaijit 11 years ago. The Supreme Court further held that the family could not be co-plaintiff as there was no conclusive evidence that Mr. Neelapaijit was dead or seriously injured.
11 years after the abduction and disappearance of Mr. Neelapaijit, the Supreme Court of Thailand refuses to accept the claim of the family that he has disappeared. During these long years, Thailand's investigating agencies have continuously conducted inquiries and have failed to find any trace of the lawyer Mr. Neelapaijit. The burden of accounting for a disappeared person is with the state. The state of Thailand has failed to establish what has happened to Mr. Neelapaijit. The Thai Supreme Court failed to fix the responsibility for accounting for the whereabouts of Mr. Neelapaijit on the Thai government. By doing so, the Supreme Court also denied the right of the family to hold the government responsible for its failure to account for what happened to Mr. Neelapaijit.
There are sinister implications to the Supreme Court's verdict. If a group of state agents succeeds not only in killing a victim but also in making them disappear, they have a greater chance of escaping liability for their crime on the basis of the verdict of the Supreme Court in this case. The burden of proving an enforced disappearance is thereby cast on the disappeared person himself.
The basic failure lies with the law of Thailand, which failed to recognize an enforced disappearance as a crime.
International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance defines the crime as follows: '"enforced disappearance" is considered to be the arrest, detention, abduction or any other form of deprivation of liberty by agents of the State or by persons or groups of persons acting with the authorization, support or acquiescence of the State, followed by a refusal to acknowledge the deprivation of liberty or by concealment of the fate or whereabouts of the disappeared person, which place such a person outside the protection of the law.'
The implication of the Supreme Court judgment is that such concealment of the fate or whereabouts of a disappeared person is considered to be a matter that does not come within the purview of the authority of the highest court in Thailand. This will only assure the state authorities that they may continue to cause such enforced disappearances, untroubled by the law.
In the recent decades, there have been large numbers of cases of enforced disappearances in Thailand. This means that there may be thousands of other families like the Neelapaijit family who seek to find legal redress for one of the most heinous crimes recognized under international law. In reply to them, what the Thai courts would say is that it may be an international crime under international law, but it is not a crime in Thailand. Such a message naturally encourages those who wish to engage in such crimes, and the state of impunity has been strengthened by the verdict of the Thai Supreme Court. Under these circumstances, the United Nations and other international bodies have a serious duty to bring sanctions against Thailand for the continuous protection it provides for perpetrators of the heinous crime of enforced disappearances.
# # #
About AHRC:The Asian Human Rights Commission is a regional non-governmental organisation that monitors human rights in Asia, documents violations and advocates for justice and institutional reform to ensure the protection and promotion of these rights. The Hong Kong-based group was founded in 1984.
Visit our website with more features at www.humanrights.asia.
You can make a difference. Please support our work and make a donation here.
-----------------------------
Asian Human Rights Commission
G/F
52 Princess Margaret Road
Ho Man Tin, Kowloon
Hongkong S.A.R.
Tel: +(852) 2698-6339 Fax: +(852) 2698-6367
Web: www.humanrights.asia
twitter/youtube/facebook: humanrightsasia
คนรวยแห่งแดนใต้ ทำสถิติเข้าโรงจำนำเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ.
กฏหมาย ชารียะฮ์ ที่ บันดา อาเจห์
นักศึกษาหญิงที่อาเจะห์ถูกโบย โทษฐานอยู่กับเพื่อนชายสองต่อสอง
นูร์ เอลิตา นักศึกษาหญิงวัย 20 ปี ถูกลงโทษด้วยการโบยหลังต่อหน้าสาธารณชนที่เมืองบันดา อาเจะห์ของอินโดนีเซีย เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โทษฐานกระทำความผิดตามกฎหมายอิสลาม หรือ ชารีอะฮ์ โดยการอยู่ใกล้ชิดกับชายที่มิใช่ญาติหรือสามีสองต่อสอง
การลงโทษครั้งนี้ มีขึ้นที่ในสนามหน้ามัสยิดไบตูราฮิม ต่อหน้ากลุ่มคนหลายร้อยคนที่ไปรอเฝ้าดู บางคนส่งเสียงร้องเชียร์และถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นูร์ เอลิตาถูกโบยด้วยหวายครบ 5 ครั้ง เธอได้ทรุดตัวล้มลงด้วยความเจ็บปวด และถูกหามส่งโรงพยาบาล จากนั้น นักศึกษาหนุ่มวัย 23 ปี ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร่วมกับเธอ ก็รับโทษถูกโบย 5 ครั้งเช่นกัน
ทั้งนี้ อาเจะห์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา เริ่มบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์เป็นกฎหมายหลักเมื่อปี 2003 หลังได้รับสถานภาพเขตปกครองตนเองพิเศษจากรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยเป็นเพียงจังหวัดเดียวในประเทศที่บังคับใช้กฏหมายนี้ กฎหมายชารีอะฮ์ครอบคลุมถึงการลงโทษผู้มีความผิดฐานดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เล่นการพนัน รักร่วมเพศ ผิดประเวณี และการแสดงความสนิทสนมระหว่างชายหญิงที่มิใช่คู่สมรส ทั้งมีการควบคุมความประพฤติของผู้หญิงอย่างเข้มงวด
Wednesday, December 30, 2015
ศาลแพ่งยันคำสั่งกลาโหมปลดอภิสิทธิ์จากราชการทหารชอบแล้ว
ศาลแพ่งยันคำสั่งกลาโหมปลดอภิสิทธิ์จากราชการทหารชอบแล้ว
Tue, 2015-12-29 23:37
ศาลแพ่งยกฟ้องคดี ′อภิสิทธิ์′ ให้กลาโหมถอนคำสั่งปลดออกจากทหาร ชี้เนื่องจากขาดการตรวจเลือกทหาร แล้วใช้เอกสาร สด.9 อันเป็นเท็จยื่นสัสดี ทำให้ขาดคุณสมบัติรับราชการ ทนายเผยขอศึกษารายละเอียดก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
29 ธ.ค. 2558 ศาลแพ่งมีคำพิพากษา ในคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของกระทรวงกลาโหม ที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ
โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเหตุที่จำเลยปลดโจทก์ออกจากราชการ เนื่องจากโจทก์ขาดการตรวจเลือกทหาร แล้วนำใบสำคัญ (ใบ สด.9) แทนฉบับที่ทำชำรุดสูญหายอันเป็นเท็จมาแสดงต่อสัสดีจังหวัดนครนายก ทำให้สัสดีจังหวัดนครนายก ไม่ทราบความจริงว่าโจทก์ครบเวลาที่จะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร จึงไม่ได้ระบุสถานะว่าเป็นผู้ขาดการเกณฑ์ทหาร เป็นเหตุให้สัสดีจังหวัดนครนายกออกใบสำคัญ (สด. 3) คือ ใบขึ้นทะเบียนกองประจำการ ให้แก่โจทก์
ทั้งโจทก์ไม่มีใบ สด.41 ซึ่งเป็นเอกสารแสดงว่าได้รับการผ่อนผันกรณีศึกษา ณ ต่างประเทศ ว่า ไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร โจทก์จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและไม่มีคุณสมบัติที่จะบรรจุเข้ารับราชการ กลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรได้ การสมัครและบรรจุโจทก์เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร กับการแต่งตั้งโจทก์เป็นนายทหารสัญญาบัตรตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม เป็นการไม่ชอบ คำสั่งของจำเลยที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลย
ด้านนายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทีมทนายความ เปิดเผยว่า คดีนี้นายอภิสิทธิ์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.อ.อ.สุกำพล โดยทางทีมทนายเพิ่งทราบคำพิพากษาแบบฉุกละหุก จึงยังไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้ ต้องขอศึกษารายละเอียดก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
อ่านฉบับเต็มที่ http://prachatai.org/journal/2015/12/63229
เรื่อง การตั้งกลุ่มการเมืองของปวงชนชาวไทย ในนาม คณะราษฎรเพื่อสาธารณรัฐสยาม
สดุดีเปรม และทหารเหี้ยเพื่อเจ้า
Tuesday, December 29, 2015
แผนล้มพุทธชัดเจน 2521-2557...
สายการบินไทย คงโดนจีน ตีตลาดไปแทนจนหมดแน่...
|
| |||
30 ธันวาคม 2558 03:59 น. (แก้ไขล่าสุด 30 ธันวาคม 2558 04:01 น.) |
|
เจ้าข้าเอ๊ย...ประเทศหมาขึ้นหิ้ง... เจ้าหน้าที่บรรจุกระดูกของ คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์คุณทองแดง
เจ้าหน้าที่บรรจุกระดูกของ คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์คุณทองแดง ศูนย์รักษ์สุนัขหัวหิน เช้าวันนี้(30 ธ.ค.58) วันนี้ (30 ธ.ค.) เวลา 09.00 น. มีการบรรจุกระดูก สุนัขหลวงคุณทองแดง ที่ฐานอนุสาวรีย์ ที่บริเวณศูนย์รักษ์สุนัขหัวหิน อำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ อนุสาวรีย์คุณทองแดง ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าจุดชมวิว ภายในมูลนิธิศูนย์รักษ์สุนัขหัวหินฯ นั้น สร้างขึ้นพร้อมกับมูลนิธิฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินรายได้จากการจำหน่ายเสื้อยืดพิมพ์ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ครอบครัว คุณทองแดงจำนวน 4 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในมูลนิธิฯ ตั้งอยู่บริเวณข้างวัดเขาอิติสุคโต ซอยหมู่บ้านเขาน้อย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้เสด็จฯไปทรงเปิดอนุสาวรีย์คุณทองแดง เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 เมื่อครั้งเสด็จฯไปทอดพระเนตรการทำงานของมูลนิธิฯด้วย สำหรับ คุณทองแดง เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาเลี้ยงหลังจากเสด็จพระราชดำเนินไปเปิด ศูนย์การแพทย์พระราม 9 และนายแพทย์คนหนึ่งนำทองแดงมาทูลเกล้าฯ ถวายให้ทอดพระเนตร คุณทองแดงมีลักษณะพิเศษต่างจากลูกสุนัขตัวอื่น คือ มีสายสร้อยรอบคอครึ่งเส้น มีถุงเท้าขาวทั้ง 4 ขา มีหางม้วนขดเป็นวง ปลายหางดอกสีขาว และมีจมูกแด่น ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายตัวเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ขณะมีอายุได้ 5 สัปดาห์ ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงค้นในหนังสือว่า ทองแดงมีลักษณะคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์บาเซนจิ ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์โบราณ มีถิ่นกำเนิดทางแอฟริกาใต้ นิยมใช้งานในการล่าสัตว์ แต่ทองแดงมีขนาดตัวใหญ่กว่าสุนัขพันธุ์บาเซนจิทั่วไป พระองค์จึงทรงเรียกทองแดงว่าเป็นสุนัขพันธุ์ไทยซูเปอร์บาเซนจิ ทองแดงมีลูกกับทองแท้ สุนัขพันธุ์บาเซนจิ จำนวน 9 ตัว ทุกตัวเกิดเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2543 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานชื่อให้เป็นชื่อขนมที่มี คำว่า "ทอง" และพระราชทานนามสกุลว่า "สุวรรณชาด" ได้แก่ ทองชมพูนุท , ทองเอก , ทองม้วน , ทองทัต , ทองพลุ , ทองหยิบ , ทองหยอด , ทองอัฐ , ทองนพคุณ และเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ทองแดงตาย ณ วังไกลกังวล ร่างอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์หัวหิน รวมอายุได้ 17 ปี 1 เดือน 19 วัน | ||
|
ใครเข้าเฝ้าเปรมบ้าง? เช็คกำลังพลของทหารไทย
จับตาให้ดี ใครอวยใคร ในบรรดาทหารของพระราชาไทย
"ป๋าเปรม" เปิดบ้านรับอวยพรปีใหม่ ขอทุกคนสามัคคี เชื่อความดีเป็นเกราะคุ้มกัน แซวนายกฯตอนเช้าอารมณ์ดี กลางวันขุ่นมัว เชื่อมั่น "บิ๊กโด่ง" ไม่ใช่คนแบบนั้น
สรุปสถานการณ์เมืองไทย 30 ธันวาคม 2558
เครือข่ายเจ้าไทยหาเงินจากการขายอวัยวะของหญิงไทย THAI MONARCHY NETWORKS EARN MONEY FROM SEXUAL ORGANS OF THAI WOMEN TO NA...
เครือข่ายเจ้าไทยหาเงินจากการขายอวัยวะของหญิงไทย THAI MONARCHY NETWORKS EARN MONEY FROM SEXUAL ORGANS OF THAI WOMEN TO NA...
ความเข้าใจผิดของประยุทธ จันทร์โอชา เรื่อง การเสียภาษีของคนไทย (เครดิต คุณตระกองขวัญ)
คุณประยุทธ จันทร์โอชา ครับ
สิ่งที่คุณพูดเมื่อวานนี้ที่สุราษฎร์ธานี
ตอกย้ำชัดครับ
ว่าคุณไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจในเรื่องที่คุณพูด
คุณพล่าม ว่า
"ประเทศไทยมีคน 70 ล้านคน อยู่ในระบบภาษี 10 ล้านคน
เหลือเสียภาษีประมาณ 4 ล้านคน
อีก 6 ล้านคน ลดหย่อนตรงนั้นตรงนี้
ดังนั้น 4 ล้านคน ถือเป็นหลักของประเทศ
เพื่อนำมาขับเคลื่อนประเทศ"
นี่เรียกว่า พล่ามแบบไม่รู้ ไม่มีความรู้ความเข้าใจสักนิด
การนำประชาชนทุกคนเข้าในระบบภาษีนั้นเป็นเรื่องดีครับ
แต่คนที่คิดจะทำ และจะลงมือทำ
ควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองจะทำก่อนสักนิด
ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วก็พล่ามแสดงความงี่เง่าออกมา
คุณประยุทธ ครับ รู้ไหมครับ
ประเทศไทยเก็บภาษีได้ปีละประมาณสองล้านล้านบาท
จากกรมสรรพากรประมาณ 1.7 ล้านบาท
จากกรมสรรพาสามิตอีกราว 3 แสนล้านบาท
ไอ้ที่คุณว่า 4 ล้านคนที่เสียภาษี
แล้วบอกเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศน่ะ
เพื่อใช้เป็นเหตุผลว่าทุกคนควรเข้าสู่ระบบภาษีน่ะ
เป็นการพล่ามแบบไม่รู้อย่างโง่บัดซบเลยครับ
ภาษีที่กรมสรรพากรเก็บได้ 1.7 ล้านบาทนั้น
เป็นภาษีบุคคลธรรมดาแค่ 2.8 แสนล้านเท่านั้นครับ
จิ๊บจ๊อยมาก แล้วจะขับเคลื่อนประเทศได้อย่างไร
เงินภาษีที่เป็นตัวขับเคลื่อนจริง ๆ นั้น
มาจากเงินภาษีสองตัวครับ
หนึ่ง คือภาษีจากบริษัทห้างร้านต่าง ๆ
ที่เรียกว่าภาษีนิติบุคคล ประมาณ 5.6 แสนล้านบาท
สอง คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากประชาชนทุกคน
เป็นภาษีทางอ้อมที่ทุกคนต้องจ่ายเมื่อจับจ่ายใช้เงิน
เป็นภาษีที่เก็บได้มากที่สุดครับ
ประมาณ 7.2 แสนล้านบาท
ภาษีมูลค่าเพิ่มนี่แหละครับคือตัวหลักขับเคลื่อนประเทศ
ภาษีมูลค่าเพิ่มนี่แหละครับมาจากประชาชนจน ๆ มากที่สุด
ที่คุณเข้าใจผิด ๆ ว่า พวกเขาไม่ได้เสียภาษี
ประชาชนทุกคนล้วนเสียภาษีทั้งนั้นครับ
บางคนเสียทางตรง บางคนเสียทางอ้อม
ทีหลังก่อนจะพล่ามอะไร
ให้แสดงถึงความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ก่อนครับ
อย่าดีแต่พล่าม
อีกเรื่องที่คุณพูด
คือเรื่องใส่ข้อมูลอาชีพ-รายได้ลงในบัตรประชาชน
คุณอ้างว่าเพื่อเป็นข้อมูลช่วยคนยากจน
ใช้ขึ้นรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี
และในอนาคตก็อาจสามารถขึ้นรถไฟฟ้าฟรีได้
มั่วไปใหญ่เลยครับ
รถเมล์ รถไฟฟรีทุกวันนี้ ดีอยู่แล้วครับ
ที่บอกว่า เป็นรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี จากภาษีประชาชน
คนจน คนรวย สามารถใช้บริการได้หมด
อย่างเท่าเทียมกัน
และปกติ คนไม่จน เขาไม่ขึ้นหรอกครับ
ไม่ว่ารถเมล์ฟรี รถไฟฟรี เขาไม่ขึ้นหรอก
ทีนี้ ถ้าคุณใช้บัตรประชาชนในการขึ้นฟรี
ก็จะเป็นการแบ่งแยกประเภทประชาชนทันทีครับ
เป็นภาพที่ไม่สวยเลยสำหรับประชาชนและประเทศชาติ
นึกภาพดูสิครับ
ประชาชนคนนั่งในรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี
จะถูกจัดเป็นพวก "จน" เป็นชนชั้นไม่มีจะกิน
ขณะที่แบบเดิม รถเมล์ รถไฟฟรีจากภาษีประชาชน นั้น
อย่างไรก็ให้ภาพที่ดีว่า ใครก็ขึ้นได้ ไม่ว่ารวยหรือจน
อย่าให้บ้านเมืองถอยหลังไปถึงห้าสิบปีก่อนเลยครับ
เหมือนประเทศอเมริกาที่แบ่งแยกคนขาว-คนดำ
รถเมล์ รถไฟ ร้านอาหาร โรงหนัง แม้กระทั่งห้องน้ำ
หากคนขาวใช้ คนดำห้ามใช้
เป็นการแบ่งแยกชนชั้นและหมู่พวก
อยากเห็นเมืองไทยเป็นแบบนั้นเหรอครับ
คนจนนั่งรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี
คนมีเงินนั่งรถเมล์อีกประเภท รถไฟอีกประเภท
ไม่สวยเลยครับ
เรื่องรถไฟฟ้าฟรีก็เหมือนกัน
แค่เรื่องสามสิบบาทรักษาทุกโรค คุณยังบ่นว่าเปลือง
แล้วดันสะเออะคิดเรื่องรถไฟฟ้าฟรี
รถไฟฟ้าน่ะ คนจนเขาไม่มีเงินพอที่จะขึ้น
ก็อย่าไปเดือดร้อนแทนเขาเลยครับ
แค่รถเมล์ รถไฟ จากภาษีประชาชนก็พอแล้ว
แค่เรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรคเขาก็พอใจแล้ว
(หาเรื่องจะเลิก 30 บาทอยู่ตลอด เพื่อทำลายผลงานทักษิณ
พอหาเรื่องที ก็โดนด่าโดนต้านที ก็ออกมาแถว่าไม่เลิกไปที)
หากไปคิดถึงเรื่องรถไฟฟ้าฟรี
จะจ่ายเอกชนเท่าไร มีวิธีอย่างไร
จะเหมาจ่ายแบบรถเมล์รถไฟ ไม่ไหวแน่ ๆ ครับ ไม่คุ้มแน่ ๆ
จะแยกขบวนรถไฟฟ้า ก็เป็นการแบ่งแยกประชาชน
รถไฟฟ้าน่ะ
ไม่ได้วิ่งไปวกวนตามถนนเหมือนรถเมล์นะครับ
คนจนอยู่ห่างเส้นทางรางรถไฟฟ้ามาก
ใครจะถ่อมาขึ้น
รถไฟฟ้าวิ่งไปตามเส้นทางธุรกิจเป็นหลัก
คนจนที่ไหนทำงานย่านธุรกิจจนต้องใช้รถไฟฟ้า
คิดอะไร ทำอะไร ให้มันเข้าท่าหน่อยเถอะครับ
ให้ประชาชนเห็นว่า รู้งาน เป็นงาน
ไม่ใช่พล่ามตะบัน รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่ได้เรื่องสักเรื่อง
คุณยึดอำนาจมากว่าปีครึ่งนี่
ผมเห็นคุณทำเรื่องเข้าท่า และน่าจะทำได้ดีอยู่เรื่องเดียวครับ
คือขับตุ๊ก ๆ
หากสงสารบ้านเมือง ก็ไปซะเถอะครับ
ไปขับตุ๊ก ๆ ดีกว่า
นะครับ
Monday, December 28, 2015
ระบบเส้นสาย ตั้งลูกหลานเป็นเลขา ฯลฯ ในยุคมารครองเมือง
Sunday, December 27, 2015
ดร. เพียงดิน รักไทย 28 ธันวาคม 2558 "ประชาชนไทย สู้เผด็จการผู้มากฤทธิ์เดช ได้จริงหรือ? มดแดงล้มช้าง คือทฤษฎี หลอกชาวบ้านไปตายหรือเปล่า?"
ดร. เพียงดิน รักไทย 28 ธันวาคม 2558 "ประชาชนไทย สู้เผด็จการผู้มากฤทธิ์เดช ได้จริงหรือ? มดแดงล้มช้าง คือทฤษฎี หลอกชาวบ้านไปตายหรือเปล่า?"
https://youtu.be/tNqthfYa_dI
หรือ
https://youtu.be/JXocmnNPirY