Saturday, September 26, 2015

ารใช้ Single Gateway กับระบบ Internet ของประเทศไทย ละเมิดกฎหมายนานาชาติอย่างไร?

การใช้ Single Gateway กับระบบ Internet ของประเทศไทย จะเกิดผลเช่นใด? ตามกฏหมายระหว่างประเทศ

ผม ขอให้คำตอบ แก่ท่านผู้อ่านโดยสังเขป ดังต่อไปนี้:

๑. องค์การสหประชาชาติ และ นานาชาติ ได้ประกาศ และบังคับใช้ (สนธิสัญญา ว่าด้วย) Electrical Communication แล้ว

๒. สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวมา ข้างต้น ได้บัญญัติให้การติดต่อ สื่อสาร ระหว่างกันทาง Internet ต้องอยู่ภายใต้บังคับของ สนธิสัญญานี้

๓. แม้ประเทศไทย จะไม่เป็นรัฐคู่ภาคีของ สนธิสัญญาฉบับนี้ ด้วยการให้สัตยาบัน เป็นลายลักษณ์อักษร ประเทศไทย มีสถานะเป็นแค่เพียง ประเทศที่ลงนามรับรู้สนธิสัญญา (Signatory State)

๔. แต่ประเทศไทย ไปขอใช้ และรับเอา Model Law (กฏหมายต้นแบบ ที่มีที่มาจาก สนธิสัญญา) มาประกาศ และ บังคับใช้ เป็นส่วนหนึ่งของ กฏหมายไทย

๕. เรื่องราวเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ ในเว็ปไซด์ของ องค์การสหประชาชาติ ให้เข้าไปดู แล้วไปที่ UN CITRAL คนไทยทั้งหลาย ก็จะได้รับรู้เสียที

๖. การที่ไปคัดลอกเอา กฏหมายต้นแบบของเขา มาบังคับใช้ เป็นกฏหมายภายในของ ประเทศไทย เช่นนี้ เป็นยิ่งกว่า การให้สัตยาบัน เป็นลายลักษณ์อักษร เราเรียก การกระทำเช่นที่ว่านี้ ว่า " เป็นการให้สัตยาบัน โดย การกระทำที่ดียิ่งเสียกว่า การให้สัตยาบัน ต่อสนธิสัญญา ด้วยลายลักษณ์อักษร"

๗. ประเทศไทย ต้องถูกผูกพันด้วย การกระทำการของตนเอง ปรากฏ เป็นหลักฐาน ในสายตาชาวโลก ต้องถามตรงนี้ว่า "เราชาวไทย จะเขียนด้วยมือ แล้วลบด้วยเท้า" หรือไม่? ถ้าอยากทำเชิญเลยครับ

๘. กลไกในการแก้ปัญหา หรือ ข้อพิพาท ที่เกิดขึ้น ในเรื่องการประกาศ และบังคับใช้ Single Gateway ตามสนธิสัญญา ที่กล่าวถึงนี้ข้างต้น สนธิสัญญาฉบับที่อ้างถึงนี้ ก็คือ การต้องตั้งอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ มาแก้ไขปัญหาข้อพิพาท ในระหว่างรัฐ กับประชาชน หรือ ประชาชน กับ ประชาชน

๙. เมื่อประเทศ ประกาศ และ บังคับใช้ Single Gate Way ก็จะเจอกับ ปัญหาที่ว่าทันที มีข้อพิพาทเกิดขึ้น ในระหว่าง รัฐ กับเอกชน ศาลในประเทศไทยทั้งหมด เข้าไปแตะต้องกับปัญหานี้ ไม่ได้ เพราะ:

๙.๑ สนธิสัญญา บัญญัติวิธีการเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะ ต้องถือว่า ไม่มีเขตอำนาจศาลไทยเหนือคดี (No Subject - Matter Jurisdiction over Disputes)

๙.๒ ต้องปฏิบัติตามความของ สนธิสัญญาโดยเคร่งครัด กรณีพิพาท ในระหว่าง รัฐ กับ เอกชน ในกรณีนี้ถือว่า ตกอยู่ในบังคับของ คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ที่องค์การสหประชาชาติ หรือ นานาชาติตามสนธิสัญญาฉบับนี้ จะตั้งขึ้น

๙.๓ ศาลอนุญาโตตุลาการประจำ ที่ กรุงเฮก ที่มีตัวตนอยู่แล้ว เพราะได้เลือกบรรดาอนุญาโตตุลาการผ่านสมัชชาใหญ่ (General Assembly) อาจถูกเลือกโดยองค์การสหประชาชาติ และนานาชาติ ให้มาทำหน้าที่ตรงนี้

๑๐. การที่จำเลย แพ้คดี ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของ อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ต้องถูกปรับไหม เป็นเงิน มีมูลค่ามหาศาล คำวินิจฉัย จะออกมาให้จ่ายเป็นเงินดอลลาร์ (ไม่ว่า ยูโร หรือ สหรัฐฯ) เวลาที่จ่ายจริง ต้องจ่ายเป็น "เหรียญทองคำ" โดยคิดจากเงินบาท ที่ไปประกาศ เป็นทางการ ที่ให้มีมูลค่าเท่ากับ ทองจำนวนเท่าใด?ออนซ์ แล้วเทียค่าออกมาเป็น ดอลลาร์ ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของ อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ

๑๑. วิธีการเช่นนี้ มีปรากฏอยู่ ในโลกนี้แล้ว เป็นคดีตัวอย่าง คือ "Alabama Claim ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นโจทก์ ฟ้อง ประเทศอังกฤษ ภายหลังจากที่สงครามกลางเมือง เสร็จสิ้นลง บนแผ่นดินสหรัฐฯ วุฒิสมาชิก Sumner ของรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นหัวหอกในการนำฟ้องคดีนี้"

๑๔. ในเรื่องประเทศไทยนั้น ยังจะ มีปัญหาต่อไปหลังจาก เรื่องนี้ คือ การบังคับใช้ (สนธิสัญญา) Convention against Transnational Organized Crime, 2000 มีผลบังคับประเทศไทยในวันที่ให้สัตยาบัน คือ วันที่ ๑๗ ตุลาคม ปีค.ศ. ๒๐๑๓ หรือ ปีพ.ศ.๒๕๕๖ ทั้งนี้เพราะการประกาศใช้ Single Gate Way ต้องผ่าน เป็นกฏหมายออกมา โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เถื่อน)

ตรงนี้คนไทยทั้งประเทศ จะได้เห็น ระบบเถื่อน สู้กับ ระบบที่ถูกต้องตามกฏหมาย และ ระบบเถื่อน จะถูกลบล้าง ให้มลายไปสิ้น ด้วยระบบครรลอง ที่ชอบด้วยกฏหมาย...........(มีต่อ)

ารใช้ Single Gateway กับระบบ Internet ของประเทศไทย ละเมิดกฎหมายนานาชาติอย่างไร?

การใช้ Single Gateway กับระบบ Internet ของประเทศไทย จะเกิดผลเช่นใด? ตามกฏหมายระหว่างประเทศ

ผม ขอให้คำตอบ แก่ท่านผู้อ่านโดยสังเขป ดังต่อไปนี้:

๑. องค์การสหประชาชาติ และ นานาชาติ ได้ประกาศ และบังคับใช้ (สนธิสัญญา ว่าด้วย) Electrical Communication แล้ว

๒. สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวมา ข้างต้น ได้บัญญัติให้การติดต่อ สื่อสาร ระหว่างกันทาง Internet ต้องอยู่ภายใต้บังคับของ สนธิสัญญานี้

๓. แม้ประเทศไทย จะไม่เป็นรัฐคู่ภาคีของ สนธิสัญญาฉบับนี้ ด้วยการให้สัตยาบัน เป็นลายลักษณ์อักษร ประเทศไทย มีสถานะเป็นแค่เพียง ประเทศที่ลงนามรับรู้สนธิสัญญา (Signatory State)

๔. แต่ประเทศไทย ไปขอใช้ และรับเอา Model Law (กฏหมายต้นแบบ ที่มีที่มาจาก สนธิสัญญา) มาประกาศ และ บังคับใช้ เป็นส่วนหนึ่งของ กฏหมายไทย

๕. เรื่องราวเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ ในเว็ปไซด์ของ องค์การสหประชาชาติ ให้เข้าไปดู แล้วไปที่ UN CITRAL คนไทยทั้งหลาย ก็จะได้รับรู้เสียที

๖. การที่ไปคัดลอกเอา กฏหมายต้นแบบของเขา มาบังคับใช้ เป็นกฏหมายภายในของ ประเทศไทย เช่นนี้ เป็นยิ่งกว่า การให้สัตยาบัน เป็นลายลักษณ์อักษร เราเรียก การกระทำเช่นที่ว่านี้ ว่า " เป็นการให้สัตยาบัน โดย การกระทำที่ดียิ่งเสียกว่า การให้สัตยาบัน ต่อสนธิสัญญา ด้วยลายลักษณ์อักษร"

๗. ประเทศไทย ต้องถูกผูกพันด้วย การกระทำการของตนเอง ปรากฏ เป็นหลักฐาน ในสายตาชาวโลก ต้องถามตรงนี้ว่า "เราชาวไทย จะเขียนด้วยมือ แล้วลบด้วยเท้า" หรือไม่? ถ้าอยากทำเชิญเลยครับ

๘. กลไกในการแก้ปัญหา หรือ ข้อพิพาท ที่เกิดขึ้น ในเรื่องการประกาศ และบังคับใช้ Single Gateway ตามสนธิสัญญา ที่กล่าวถึงนี้ข้างต้น สนธิสัญญาฉบับที่อ้างถึงนี้ ก็คือ การต้องตั้งอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ มาแก้ไขปัญหาข้อพิพาท ในระหว่างรัฐ กับประชาชน หรือ ประชาชน กับ ประชาชน

๙. เมื่อประเทศ ประกาศ และ บังคับใช้ Single Gate Way ก็จะเจอกับ ปัญหาที่ว่าทันที มีข้อพิพาทเกิดขึ้น ในระหว่าง รัฐ กับเอกชน ศาลในประเทศไทยทั้งหมด เข้าไปแตะต้องกับปัญหานี้ ไม่ได้ เพราะ:

๙.๑ สนธิสัญญา บัญญัติวิธีการเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะ ต้องถือว่า ไม่มีเขตอำนาจศาลไทยเหนือคดี (No Subject - Matter Jurisdiction over Disputes)

๙.๒ ต้องปฏิบัติตามความของ สนธิสัญญาโดยเคร่งครัด กรณีพิพาท ในระหว่าง รัฐ กับ เอกชน ในกรณีนี้ถือว่า ตกอยู่ในบังคับของ คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ที่องค์การสหประชาชาติ หรือ นานาชาติตามสนธิสัญญาฉบับนี้ จะตั้งขึ้น

๙.๓ ศาลอนุญาโตตุลาการประจำ ที่ กรุงเฮก ที่มีตัวตนอยู่แล้ว เพราะได้เลือกบรรดาอนุญาโตตุลาการผ่านสมัชชาใหญ่ (General Assembly) อาจถูกเลือกโดยองค์การสหประชาชาติ และนานาชาติ ให้มาทำหน้าที่ตรงนี้

๑๐. การที่จำเลย แพ้คดี ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของ อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ต้องถูกปรับไหม เป็นเงิน มีมูลค่ามหาศาล คำวินิจฉัย จะออกมาให้จ่ายเป็นเงินดอลลาร์ (ไม่ว่า ยูโร หรือ สหรัฐฯ) เวลาที่จ่ายจริง ต้องจ่ายเป็น "เหรียญทองคำ" โดยคิดจากเงินบาท ที่ไปประกาศ เป็นทางการ ที่ให้มีมูลค่าเท่ากับ ทองจำนวนเท่าใด?ออนซ์ แล้วเทียค่าออกมาเป็น ดอลลาร์ ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของ อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ

๑๑. วิธีการเช่นนี้ มีปรากฏอยู่ ในโลกนี้แล้ว เป็นคดีตัวอย่าง คือ "Alabama Claim ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นโจทก์ ฟ้อง ประเทศอังกฤษ ภายหลังจากที่สงครามกลางเมือง เสร็จสิ้นลง บนแผ่นดินสหรัฐฯ วุฒิสมาชิก Sumner ของรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นหัวหอกในการนำฟ้องคดีนี้"

๑๔. ในเรื่องประเทศไทยนั้น ยังจะ มีปัญหาต่อไปหลังจาก เรื่องนี้ คือ การบังคับใช้ (สนธิสัญญา) Convention against Transnational Organized Crime, 2000 มีผลบังคับประเทศไทยในวันที่ให้สัตยาบัน คือ วันที่ ๑๗ ตุลาคม ปีค.ศ. ๒๐๑๓ หรือ ปีพ.ศ.๒๕๕๖ ทั้งนี้เพราะการประกาศใช้ Single Gate Way ต้องผ่าน เป็นกฏหมายออกมา โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เถื่อน)

ตรงนี้คนไทยทั้งประเทศ จะได้เห็น ระบบเถื่อน สู้กับ ระบบที่ถูกต้องตามกฏหมาย และ ระบบเถื่อน จะถูกลบล้าง ให้มลายไปสิ้น ด้วยระบบครรลอง ที่ชอบด้วยกฏหมาย...........(มีต่อ)

คุณประวิตร ตอกหน้า คสช.​ในเวทีสากล The Diplomat ประจานการปรับทัศนคติ แบบป่าเถื่อน!!!

อ้าว เรื่อง คุณประวิตร โรจน์พฤกษ์ ดังไปทั่วโลกแล้ว....

จาก The dipomat.....

How Thailand's Military Junta Tried to 'Adjust My Attitude' in Detention

Pravit Rojanaphruk recounts his recent "attitude adjustment" under the country's ruling junta.
By Pravit Rojanaphruk September 23, 2015

"Attitude adjustment" is a method employed by Thailand's ruling military junta to neutralize its critics and opponents. Those "invited" for attitude adjustment are detained without charge and interrogated, with settings ranging from vacation- to detention-like facilities. Treatment ranges from effusive politeness to terse language; from being kept in a military camp where you can walk around and play sports to being detained in a small room with no vista to the world, depending on your learning curve toward the attitude adjustment process.

These are some of the things I remember best during my second round of attitude adjustment under the military junta, also known as the National Council for Peace and Order (NCPO). My crime was tweeting and posting comments questioning the legitimacy of the NCPO and its leader General Prayut Chan-o-cha, who is also prime minister, for which I was detained from September 13 to 15, 2015.

Initial Treatment

After being blindfolded and taken in a nondescript van on an hour-and-a-half journey out of Bangkok, with some four men in black short-sleeved shirts wearing surgical masks, I was deposited in a 4-by-4 meter cell. All the paneless wooden windows, with iron bars, were shut tight and the ventilation outlets in the adjoining tiny toilet and shower area were covered from the outside with brown paper. The cell had a non-functioning mobile air-conditioner that went no lower than 29 degrees Celsius, a CCTV that stared at me from a corner of the ceiling, a hazy TV set, and several small bottles of water. There were no cracks to let in the sun or air, and the cell was locked from outside.

I was told to knock if I wanted anything, and that I would be told of my "program" the following day.

Unlike the mid-ranking or senior officers I had encountered in my first attitude adjustment session, the four men in charge, who worked in shifts of two at a time, were always terse, always sported a surgical mask and were always in civilian clothes. They only spoke or answered me when it was absolutely necessary.

In the morning of day two, after barely being able to eat the breakfast given to me by the guards, I begged to be taken outside for some fresh air, citing the lack of ventilation inside the cell.

The stern guards reluctantly obliged. They first got me to sit facing away from the door so I couldn't see what was outside. They then blindfolded me and guided me outside for some "fresh air". I was allowed to stay outside the cell for 20 minutes – always blindfolded – and gulp what air I could from the outside door they had left open.

After a few outings like this, one guard complained that I was being too demanding, to which I said I was only asking for air, which is free, and not a bottle of Coke.

My exercise routine consisted of taking four steps, turning and taking another two, or vice-versa since that was what the room's size allowed. I soon realized that this was just depleting more precious oxygen at an even faster pace, and so abandoned it after less than 30 minutes.

Later in the evening, after spending some 20 hours without proper human interaction, an officer who introduced himself as a lieutenant came in for a chat. He asked if there was anything he could do for me. I asked for some sunshine, fresh air, and perhaps some soap, shampoo, and washing powder.

He granted me some air by leaving the door to my cell open – provided I faced the other way. As for sunshine – it was never granted.

Interrogation

Before I was blindfolded on the first day at an Army camp in Bangkok, some six Army officers – ranging from mid- to senior rank – interrogated me. They wanted to know things like my nickname, details about my parents, their profession, my siblings, my political network, my address, and so on. They also asked why I was against the coup and critical of the lese majeste law. The interrogation lasted about six hours.

When I told them that I was not a supporter of former prime minister Thaksin Shinawatra, they wanted to know what group I belonged to. All I could say was that things can't be just black and white.

They may have expected an apology from me regarding what I said about their leader, Prayut, but I did not offer any. Instead, I told them that everything they asked can be answered rationally without an apology.

The interrogators wanted to peruse my smartphone, but I told them I left it with a United Nations (UN) officer for safekeeping. They appeared upset. Some even said this implied that I was not sincere or innocent and asked why I left it with UN staff.

I replied that since the junta leader possesses absolute power under Article 44 of the junta-sponsored interim constitution, it would only be wise to deposit my phone with a UN staff member who obviously does not operate under the Thai military junta's rules. I added, however, that I was willing to ring the man up and ask him to come to see us and demonstrate the content of the phone. They didn't seem to like my answer. After a while, they seemed to have decided it might not be the wisest idea to drag the UN into the fiasco.

By the end of day three, I was blindfolded again and driven back to the First Army Division headquarters in Bangkok. The No. 2 boss of the division, General Asawin Chaemsuwan, eventually walked in with half a dozen uniformed men in attendance.

I had met this general earlier on two occasions. Both times, he had warned me against being too expressive about the controversial lese majeste law.

"I will not give you a red card yet, because we're all Thais," he said, using a soccer analogy to refer to the "yellow card" warning that I had been given during my first "adjustment" session immediately after the coup in May last year. Apparently, my "crime" did not warrant the equivalent of a full ejection from a soccer pitch.

However, Asawin warned that the charge – which I later found to be sedition – would proceed if I breached the "contract" by joining, assisting, or leading an anti-coup movement or by "crossing the line" in my criticism of the junta. A sedition charge carries a maximum penalty of seven years.

I then asked the general and the half dozen mid-ranking officers about how long this "contract" would last. What was the statute of limitations? They replied that it was 15 years. "Would the NCPO be long gone by then?" I asked. The question went unanswered.

The general then changed the subject by mentioning two locations and asking me if I lived at either of them. Obviously they had been tracking my whereabouts via my phone's GPS.

He then bade me farewell, before one of his men escorted me home.

"I wish we don't have to meet again," the old general said before leaving. Oddly enough, I found myself thinking of him as a kind and considerate man. I realized I may have developed a mild Stockholm syndrome, as I was relieved to see him.

Pravit Rojanaphruk was a senior reporter and columnist with Thailand's The Nation Newspaper for 23 years. He resigned from the post a day after he was released from detention. This article is based on a shorter version which appeared in The Nation newspaper on September 23, entitled "How my attitude was 'adjusted' by the NCPO".

อ้าว เรื่อง คุณประวิตร โรจน์พฤกษ์ ดังไปทั่วโลกแล้ว....

จาก The dipomat.....

How to thailand ' s military junta พยายาม ' ปรับทัศนคติของฉันใน detention '

Pravit rojanaphruk recounts ล่าสุดของเขา "ปรับ ทัศนคติ" under the country ' s ruling junta.
โดย pravit rojanaphruk กันยายน 23, 2015

"การ ปรับ ทัศนคติ วิธีการ" เป็นเพื่อธุรกิจขนาดย่อมโดย thailand ' s ruling military junta เพื่อ neutralize critics ของมันและฝ่ายตรงข้าม. ผู้ "เชิญ" สำหรับการปรับทัศนคติจะเครื่องบินโดยไม่คิดค่าบริการและ interrogated, กับการตั้งค่าตั้งแต่วันหยุด-to detention-ถูกใจสิ่งอำนวยความสะดวก. ช่วงจากการรักษา effusive ความเรียบร้อยในภาษา terse; จากที่ถูกเก็บไว้ในค่ายทหารที่คุณสามารถเดินรอบๆ และเล่นกีฬาให้ถูก detained in a small room with no vista to the world, ได้ขึ้นอยู่กับ learning curve ขึ้นปรับทัศนคติ.

นี่คือบางสิ่งที่ฉันจำที่ดีที่สุดของฉันระหว่างรอบที่สองของการปรับทัศนคติ under the military junta, also known as the national council for peace and order (ncpo). ฉันถูก tweeting อาชญากรรมและการโพสต์ความคิดเห็น questioning the legitimacy of the ncpo ทั่วไปและของผู้นำ prayut chan-o-ชา, ที่ยัง prime minister, ที่ฉันถูกเครื่องบินจาก 13 กันยายน 15, 2015.

การรักษาเริ่มต้น

หลังจากถูก blindfolded และถ่ายใน nondescript van เมื่อหนึ่งชั่วโมง-และ-a-ครึ่ง journey out of bangkok, กับบางสี่ men in black short-sleeved เสื้อใส่รูปแบบชื่อ items, ฉันถูก deposited ใน 4-by-4 เมตรเซลล์. All the paneless ไม้ windows, กับ iron บาร์, ถูกปิดสนิทและการระบายอากาศ outlets ขนาดเล็กใน adjoining system และอาบน้ำมีพื้นที่ครอบคลุมจากข้างนอกกับกระดาษสีน้ำตาล. เซลล์มี non-functioning mobile air-บริการที่ผิดพลาดไม่ต่ำกว่า 29 องศาเซลเซียส, a วงจรปิด stared ที่ที่ฉันจากมุมของเพดาน hazy, tv, และตั้งหลายขวดขนาดเล็กของน้ำ. ไม่ cracks เพื่อแจ้งให้ในอาทิตย์หรือ) และเซลล์ถูกล็อกจากข้างนอก.

ฉันเคยบอกกับสักคนทุบหากฉันต้องการอะไรและฉันจะบอกของฉัน "โปรแกรม" ต่อไปนี้วัน.

เลิกถูกใจ mid-ranking หรือ senior เจ้าหน้าที่ฉันพบแรกของฉันในวาระการปรับทัศนคติที่สี่มนุษย์ค่าบริการใน, ที่เคยทำงานใน shifts ของสอง, อยู่เสมอ, เสมอ terse sported a items mask และถูกเสมอใน civilian เสื้อผ้า. พวกเขาเท่านั้นหรือตอบฉันพูดเมื่อจำเป็นจริงเชียว

ในเช้าของวันสองหลังยังสามารถทานอาหารเช้าที่ให้ฉันโดย guards ฉันขอร้องให้เป็นถ่ายนอกสำหรับบาง fresh air, observers say ขาดการระบายอากาศภายในเซลล์.

The stern guards reluctantly obliged. ครั้งแรกที่ฉันได้นั่งหันห่างจากประตูดังนั้นฉันไม่สามารถเห็นสิ่งที่ถูกนอก. พวกเขาแล้ว skip blindfolded ฉันและฉันนอกสำหรับบาง "อากาศ สดชื่น". ฉันได้รับอนุญาตให้อยู่นอกเซลล์ 20 นาที-เสมอ gulp blindfolded-และอากาศที่ฉันสามารถจากนอกประต

คุณประวิตร ตอกหน้า คสช.​ในเวทีสากล The Diplomat ประจานการปรับทัศนคติ แบบป่าเถื่อน!!!

อ้าว เรื่อง คุณประวิตร โรจน์พฤกษ์ ดังไปทั่วโลกแล้ว....

จาก The dipomat.....

How Thailand's Military Junta Tried to 'Adjust My Attitude' in Detention

Pravit Rojanaphruk recounts his recent "attitude adjustment" under the country's ruling junta.
By Pravit Rojanaphruk September 23, 2015

"Attitude adjustment" is a method employed by Thailand's ruling military junta to neutralize its critics and opponents. Those "invited" for attitude adjustment are detained without charge and interrogated, with settings ranging from vacation- to detention-like facilities. Treatment ranges from effusive politeness to terse language; from being kept in a military camp where you can walk around and play sports to being detained in a small room with no vista to the world, depending on your learning curve toward the attitude adjustment process.

These are some of the things I remember best during my second round of attitude adjustment under the military junta, also known as the National Council for Peace and Order (NCPO). My crime was tweeting and posting comments questioning the legitimacy of the NCPO and its leader General Prayut Chan-o-cha, who is also prime minister, for which I was detained from September 13 to 15, 2015.

Initial Treatment

After being blindfolded and taken in a nondescript van on an hour-and-a-half journey out of Bangkok, with some four men in black short-sleeved shirts wearing surgical masks, I was deposited in a 4-by-4 meter cell. All the paneless wooden windows, with iron bars, were shut tight and the ventilation outlets in the adjoining tiny toilet and shower area were covered from the outside with brown paper. The cell had a non-functioning mobile air-conditioner that went no lower than 29 degrees Celsius, a CCTV that stared at me from a corner of the ceiling, a hazy TV set, and several small bottles of water. There were no cracks to let in the sun or air, and the cell was locked from outside.

I was told to knock if I wanted anything, and that I would be told of my "program" the following day.

Unlike the mid-ranking or senior officers I had encountered in my first attitude adjustment session, the four men in charge, who worked in shifts of two at a time, were always terse, always sported a surgical mask and were always in civilian clothes. They only spoke or answered me when it was absolutely necessary.

In the morning of day two, after barely being able to eat the breakfast given to me by the guards, I begged to be taken outside for some fresh air, citing the lack of ventilation inside the cell.

The stern guards reluctantly obliged. They first got me to sit facing away from the door so I couldn't see what was outside. They then blindfolded me and guided me outside for some "fresh air". I was allowed to stay outside the cell for 20 minutes – always blindfolded – and gulp what air I could from the outside door they had left open.

After a few outings like this, one guard complained that I was being too demanding, to which I said I was only asking for air, which is free, and not a bottle of Coke.

My exercise routine consisted of taking four steps, turning and taking another two, or vice-versa since that was what the room's size allowed. I soon realized that this was just depleting more precious oxygen at an even faster pace, and so abandoned it after less than 30 minutes.

Later in the evening, after spending some 20 hours without proper human interaction, an officer who introduced himself as a lieutenant came in for a chat. He asked if there was anything he could do for me. I asked for some sunshine, fresh air, and perhaps some soap, shampoo, and washing powder.

He granted me some air by leaving the door to my cell open – provided I faced the other way. As for sunshine – it was never granted.

Interrogation

Before I was blindfolded on the first day at an Army camp in Bangkok, some six Army officers – ranging from mid- to senior rank – interrogated me. They wanted to know things like my nickname, details about my parents, their profession, my siblings, my political network, my address, and so on. They also asked why I was against the coup and critical of the lese majeste law. The interrogation lasted about six hours.

When I told them that I was not a supporter of former prime minister Thaksin Shinawatra, they wanted to know what group I belonged to. All I could say was that things can't be just black and white.

They may have expected an apology from me regarding what I said about their leader, Prayut, but I did not offer any. Instead, I told them that everything they asked can be answered rationally without an apology.

The interrogators wanted to peruse my smartphone, but I told them I left it with a United Nations (UN) officer for safekeeping. They appeared upset. Some even said this implied that I was not sincere or innocent and asked why I left it with UN staff.

I replied that since the junta leader possesses absolute power under Article 44 of the junta-sponsored interim constitution, it would only be wise to deposit my phone with a UN staff member who obviously does not operate under the Thai military junta's rules. I added, however, that I was willing to ring the man up and ask him to come to see us and demonstrate the content of the phone. They didn't seem to like my answer. After a while, they seemed to have decided it might not be the wisest idea to drag the UN into the fiasco.

By the end of day three, I was blindfolded again and driven back to the First Army Division headquarters in Bangkok. The No. 2 boss of the division, General Asawin Chaemsuwan, eventually walked in with half a dozen uniformed men in attendance.

I had met this general earlier on two occasions. Both times, he had warned me against being too expressive about the controversial lese majeste law.

"I will not give you a red card yet, because we're all Thais," he said, using a soccer analogy to refer to the "yellow card" warning that I had been given during my first "adjustment" session immediately after the coup in May last year. Apparently, my "crime" did not warrant the equivalent of a full ejection from a soccer pitch.

However, Asawin warned that the charge – which I later found to be sedition – would proceed if I breached the "contract" by joining, assisting, or leading an anti-coup movement or by "crossing the line" in my criticism of the junta. A sedition charge carries a maximum penalty of seven years.

I then asked the general and the half dozen mid-ranking officers about how long this "contract" would last. What was the statute of limitations? They replied that it was 15 years. "Would the NCPO be long gone by then?" I asked. The question went unanswered.

The general then changed the subject by mentioning two locations and asking me if I lived at either of them. Obviously they had been tracking my whereabouts via my phone's GPS.

He then bade me farewell, before one of his men escorted me home.

"I wish we don't have to meet again," the old general said before leaving. Oddly enough, I found myself thinking of him as a kind and considerate man. I realized I may have developed a mild Stockholm syndrome, as I was relieved to see him.

Pravit Rojanaphruk was a senior reporter and columnist with Thailand's The Nation Newspaper for 23 years. He resigned from the post a day after he was released from detention. This article is based on a shorter version which appeared in The Nation newspaper on September 23, entitled "How my attitude was 'adjusted' by the NCPO".

อ้าว เรื่อง คุณประวิตร โรจน์พฤกษ์ ดังไปทั่วโลกแล้ว....

จาก The dipomat.....

How to thailand ' s military junta พยายาม ' ปรับทัศนคติของฉันใน detention '

Pravit rojanaphruk recounts ล่าสุดของเขา "ปรับ ทัศนคติ" under the country ' s ruling junta.
โดย pravit rojanaphruk กันยายน 23, 2015

"การ ปรับ ทัศนคติ วิธีการ" เป็นเพื่อธุรกิจขนาดย่อมโดย thailand ' s ruling military junta เพื่อ neutralize critics ของมันและฝ่ายตรงข้าม. ผู้ "เชิญ" สำหรับการปรับทัศนคติจะเครื่องบินโดยไม่คิดค่าบริการและ interrogated, กับการตั้งค่าตั้งแต่วันหยุด-to detention-ถูกใจสิ่งอำนวยความสะดวก. ช่วงจากการรักษา effusive ความเรียบร้อยในภาษา terse; จากที่ถูกเก็บไว้ในค่ายทหารที่คุณสามารถเดินรอบๆ และเล่นกีฬาให้ถูก detained in a small room with no vista to the world, ได้ขึ้นอยู่กับ learning curve ขึ้นปรับทัศนคติ.

นี่คือบางสิ่งที่ฉันจำที่ดีที่สุดของฉันระหว่างรอบที่สองของการปรับทัศนคติ under the military junta, also known as the national council for peace and order (ncpo). ฉันถูก tweeting อาชญากรรมและการโพสต์ความคิดเห็น questioning the legitimacy of the ncpo ทั่วไปและของผู้นำ prayut chan-o-ชา, ที่ยัง prime minister, ที่ฉันถูกเครื่องบินจาก 13 กันยายน 15, 2015.

การรักษาเริ่มต้น

หลังจากถูก blindfolded และถ่ายใน nondescript van เมื่อหนึ่งชั่วโมง-และ-a-ครึ่ง journey out of bangkok, กับบางสี่ men in black short-sleeved เสื้อใส่รูปแบบชื่อ items, ฉันถูก deposited ใน 4-by-4 เมตรเซลล์. All the paneless ไม้ windows, กับ iron บาร์, ถูกปิดสนิทและการระบายอากาศ outlets ขนาดเล็กใน adjoining system และอาบน้ำมีพื้นที่ครอบคลุมจากข้างนอกกับกระดาษสีน้ำตาล. เซลล์มี non-functioning mobile air-บริการที่ผิดพลาดไม่ต่ำกว่า 29 องศาเซลเซียส, a วงจรปิด stared ที่ที่ฉันจากมุมของเพดาน hazy, tv, และตั้งหลายขวดขนาดเล็กของน้ำ. ไม่ cracks เพื่อแจ้งให้ในอาทิตย์หรือ) และเซลล์ถูกล็อกจากข้างนอก.

ฉันเคยบอกกับสักคนทุบหากฉันต้องการอะไรและฉันจะบอกของฉัน "โปรแกรม" ต่อไปนี้วัน.

เลิกถูกใจ mid-ranking หรือ senior เจ้าหน้าที่ฉันพบแรกของฉันในวาระการปรับทัศนคติที่สี่มนุษย์ค่าบริการใน, ที่เคยทำงานใน shifts ของสอง, อยู่เสมอ, เสมอ terse sported a items mask และถูกเสมอใน civilian เสื้อผ้า. พวกเขาเท่านั้นหรือตอบฉันพูดเมื่อจำเป็นจริงเชียว

ในเช้าของวันสองหลังยังสามารถทานอาหารเช้าที่ให้ฉันโดย guards ฉันขอร้องให้เป็นถ่ายนอกสำหรับบาง fresh air, observers say ขาดการระบายอากาศภายในเซลล์.

The stern guards reluctantly obliged. ครั้งแรกที่ฉันได้นั่งหันห่างจากประตูดังนั้นฉันไม่สามารถเห็นสิ่งที่ถูกนอก. พวกเขาแล้ว skip blindfolded ฉันและฉันนอกสำหรับบาง "อากาศ สดชื่น". ฉันได้รับอนุญาตให้อยู่นอกเซลล์ 20 นาที-เสมอ gulp blindfolded-และอากาศที่ฉันสามารถจากนอกประต

การถ่ายทอดสดจากองค์การสหประชาชาติ นิวยอร์ค 26 กันยายน 2558 ประท้วงประย...



Download

สหภาพยุโรป ทั้งมวลให้มี ท่าทีที่แข็งกร้าว ตอบโต้ประเทศไทย

James Walsky's video.
3:17/3:17
James Walsky

ดูและฟังเองชัดๆว่า......

สมาชิกสหภาพยุโรป ได้เรียกร้องให้ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทั้งมวลให้มี ท่าทีที่แข็งกร้าว ตอบโต้ประเทศไทย ในกรณีการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ(ฉบับหลอกลวง) พวกเขาได้กล่่าวอะไร ไว้อย่างไร ?
(เพราะรัฐบาลเผด็จการออกมาปฎิเสธข่าวนี้ เมื่อวานนี้)

EU called on to take 'stringent action' over 'fake' Thailand constitution

The rejection of a controversial new "fake" constitution in Thailand has triggered demands for the European Union to take "stringent action" in its opposition to the country's ruling military junta.

Thailand's military-appointed National Reform Council (NRC) rejected a new constitution in a vote on Sunday, a result that pushes back the junta's time-frame for an election to April 2017 at the earliest while a new charter is written.

The constitution, which would have been Thailand's 20th in 83 years, was rejected by 135 members of the NRC and approved by just 105. There were seven abstentions.

The 'No' vote means the process of drafting another constitution will start again, delaying any election until 2017 at the earliest.

One of the thorniest issues was a late addition to the draft, the creation of a National Committee on Reform and Reconciliation Strategy which would be dominated by military, allowing it to exercise power over the executive and legislative branches in any "crisis".

NRC member Sangsit Phiriyarangsan, who voted to pass the charter, said he believed it was voted down because of a desire to postpone elections.

According to the junta's own rules, it must now establish a new constitutional drafting committee within 30 days which will have 180 days to write a new charter. The new constitution, however, will not be subject to a vote by the NRC but instead be submitted directly to a referendum.

Thailand is currently using an interim constitution drafted last year which gives sweeping unchecked powers to the junta led by former army commander Prayuth Chan-ocha.

The vote comes at a time of increased instability in the county, including a badly faltering economy, last month's terrorist outrage in Bangkok that killed 20 people and the health of 87-year-old King Bhumibol Adulyadej.

The Pheu Thai party, ousted from power last year, described the constitution as "totally disregarding the sovereignty of the Thai people".

Reaction to the outcome of the vote was swift, with veteran UK Socialist MEP David Martin, a member of the European Parliament's ASEAN delegation and his party's coordinator on the international trade committee, saying, "Until Thailand returns to democracy there can be no negotiations on an FTA. Also that EU should use all diplomatic pressure possible to encourage Thailand on the path back to democracy."

Fellow ASEAN member, Julie Girling, an MEP for the European Conservatives and Reformists Group said: "The military government in Thailand has promised a speedy transition to democracy but they are not delivering. The EU can help but patience is running out. Urgent action is now required with a clear timetable, anything less will mean that Europe will have to take more stringent action."

The ASEAN delegation covers relations with ten countries of south-east Asia.

Another senior MEP Charles Tannock, a Foreign Affairs Committee member, said, "Rejection of the constitution goes some way to proving that the military junta is playing for time, particularly at a junction when the ailing health of the King is paving the way for a potential succession crisis. As the timetable for the adoption of a new constitution drifts ever further away, EU member states should seek to exert more pressure on the Thai authorities to find a solution, exploring the option of elections for a constituent assembly to draft the constitution if need be."

Further comment came from David Camroux, an associate professor at the respected Paris-based Centre De Recherches Internationales and an expert on Thailand at the European Institute for Asian Studies (EIAS), a leading Brussels-based think tank.

He told this website, "What is occurring in Thailand is not so much a 'crisis', to use that much-abused term, but something far more serious, a profound malaise within Thailand as a whole that has been brewing for over a decade. If one were to seek an image that of Russian dolls comes to mind.

"The longstanding competition for power among elites is eclipsed by social cleavages, economic uncertainty and an almost existential angst linked to a fin de règne."

Camroux, also co-editor of the Journal of Current Southeast Asian Affairs, argues that Thailand needs to be seen in the larger Southeast Asian context, adding, "Diplomatic pressure in the form of communiques may be counterproductive. What the EU should be doing though is supporting civil society groups, particularly lawyers, who are opposed to the junta and its fake constitution.

"I would suggest also a 'pincer movement' around Thailand in which, for example, the EU supports and monitors the November elections in Myanmar, encouraging the formation of a broad-based coalition government. The objective is to provide clear cases of democratic success. That would shame the Thais out of their sense of moral superiority."

He also argues that Thailand's stalled Free Trade Agreement (FTA) negotiations with the EU should continue to be put on hold, saying: "The EU's 'market power' through trade is one of our rare levers."

Maja Kocijancic, spokeswoman for the European Union External Action Service (EEAS), said, "As a friend and partner, the EU remains committed to the restoration of democracy in Thailand, as set out in the council conclusions of 23 June 2014.

"We note that the National Reform Council did not approve the draft charter, or draft constitution, and trust that there will be an inclusive process leading to a speedy return to democracy."

ขอขอบคุณ ข่าวและคลิปจาก EU Reporter

สหภาพยุโรป ทั้งมวลให้มี ท่าทีที่แข็งกร้าว ตอบโต้ประเทศไทย

James Walsky's video.
3:17/3:17
James Walsky

ดูและฟังเองชัดๆว่า......

สมาชิกสหภาพยุโรป ได้เรียกร้องให้ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทั้งมวลให้มี ท่าทีที่แข็งกร้าว ตอบโต้ประเทศไทย ในกรณีการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ(ฉบับหลอกลวง) พวกเขาได้กล่่าวอะไร ไว้อย่างไร ?
(เพราะรัฐบาลเผด็จการออกมาปฎิเสธข่าวนี้ เมื่อวานนี้)

EU called on to take 'stringent action' over 'fake' Thailand constitution

The rejection of a controversial new "fake" constitution in Thailand has triggered demands for the European Union to take "stringent action" in its opposition to the country's ruling military junta.

Thailand's military-appointed National Reform Council (NRC) rejected a new constitution in a vote on Sunday, a result that pushes back the junta's time-frame for an election to April 2017 at the earliest while a new charter is written.

The constitution, which would have been Thailand's 20th in 83 years, was rejected by 135 members of the NRC and approved by just 105. There were seven abstentions.

The 'No' vote means the process of drafting another constitution will start again, delaying any election until 2017 at the earliest.

One of the thorniest issues was a late addition to the draft, the creation of a National Committee on Reform and Reconciliation Strategy which would be dominated by military, allowing it to exercise power over the executive and legislative branches in any "crisis".

NRC member Sangsit Phiriyarangsan, who voted to pass the charter, said he believed it was voted down because of a desire to postpone elections.

According to the junta's own rules, it must now establish a new constitutional drafting committee within 30 days which will have 180 days to write a new charter. The new constitution, however, will not be subject to a vote by the NRC but instead be submitted directly to a referendum.

Thailand is currently using an interim constitution drafted last year which gives sweeping unchecked powers to the junta led by former army commander Prayuth Chan-ocha.

The vote comes at a time of increased instability in the county, including a badly faltering economy, last month's terrorist outrage in Bangkok that killed 20 people and the health of 87-year-old King Bhumibol Adulyadej.

The Pheu Thai party, ousted from power last year, described the constitution as "totally disregarding the sovereignty of the Thai people".

Reaction to the outcome of the vote was swift, with veteran UK Socialist MEP David Martin, a member of the European Parliament's ASEAN delegation and his party's coordinator on the international trade committee, saying, "Until Thailand returns to democracy there can be no negotiations on an FTA. Also that EU should use all diplomatic pressure possible to encourage Thailand on the path back to democracy."

Fellow ASEAN member, Julie Girling, an MEP for the European Conservatives and Reformists Group said: "The military government in Thailand has promised a speedy transition to democracy but they are not delivering. The EU can help but patience is running out. Urgent action is now required with a clear timetable, anything less will mean that Europe will have to take more stringent action."

The ASEAN delegation covers relations with ten countries of south-east Asia.

Another senior MEP Charles Tannock, a Foreign Affairs Committee member, said, "Rejection of the constitution goes some way to proving that the military junta is playing for time, particularly at a junction when the ailing health of the King is paving the way for a potential succession crisis. As the timetable for the adoption of a new constitution drifts ever further away, EU member states should seek to exert more pressure on the Thai authorities to find a solution, exploring the option of elections for a constituent assembly to draft the constitution if need be."

Further comment came from David Camroux, an associate professor at the respected Paris-based Centre De Recherches Internationales and an expert on Thailand at the European Institute for Asian Studies (EIAS), a leading Brussels-based think tank.

He told this website, "What is occurring in Thailand is not so much a 'crisis', to use that much-abused term, but something far more serious, a profound malaise within Thailand as a whole that has been brewing for over a decade. If one were to seek an image that of Russian dolls comes to mind.

"The longstanding competition for power among elites is eclipsed by social cleavages, economic uncertainty and an almost existential angst linked to a fin de règne."

Camroux, also co-editor of the Journal of Current Southeast Asian Affairs, argues that Thailand needs to be seen in the larger Southeast Asian context, adding, "Diplomatic pressure in the form of communiques may be counterproductive. What the EU should be doing though is supporting civil society groups, particularly lawyers, who are opposed to the junta and its fake constitution.

"I would suggest also a 'pincer movement' around Thailand in which, for example, the EU supports and monitors the November elections in Myanmar, encouraging the formation of a broad-based coalition government. The objective is to provide clear cases of democratic success. That would shame the Thais out of their sense of moral superiority."

He also argues that Thailand's stalled Free Trade Agreement (FTA) negotiations with the EU should continue to be put on hold, saying: "The EU's 'market power' through trade is one of our rare levers."

Maja Kocijancic, spokeswoman for the European Union External Action Service (EEAS), said, "As a friend and partner, the EU remains committed to the restoration of democracy in Thailand, as set out in the council conclusions of 23 June 2014.

"We note that the National Reform Council did not approve the draft charter, or draft constitution, and trust that there will be an inclusive process leading to a speedy return to democracy."

ขอขอบคุณ ข่าวและคลิปจาก EU Reporter

ดร.เพียงดิน รักไทย 2014-09-12 ตอน มดแดงล้มทุนผูกขาดน้ำเมา เป็นไปได้ไหม?



Download
http://www.ft.com/home/asia
เป้าหมายการปฏิว้ติแบบมดแดงล้มช้าง สร้างชาติ (เปลี่ยนระบอบ)
http://www.piangdinacademy.org/p/blog-page_8.html



Friday, September 25, 2015

แกน นำแดง ปลุกผู้ลี้ภัยเพราะรัฐประหาร ฟ้องแพ่ง"ประยุทธ์"ที่ศาลแมนฮัตตัน นิวยอร์ค

Red Thai with Red Thai V2

แกน นำแดง ปลุกผู้ลี้ภัยเพราะรัฐประหาร ฟ้องแพ่ง"ประยุทธ์"ที่ศาลแมนฮัตตัน นิวยอร์ค โดยเรียกร้องให้ อ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ดำเนินการยื่นฟ้องเป็นคนแรก .......

พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ จอม เพชรประดับ ใน Thaivoiemedia ....

กรณี นายประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าโจรกบฏ คสช นายกรัฐมนตรีที่ปล้นอำนาจประชาชน เดินทางมาร่วมประชุม ยูเอ็น ที่ นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ว่า..... คนไทยที่ลี้ภัยการเมืองอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร สามารถยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเขตพื้นที่ศาลแมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา..ได้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ พักชั่วคราวขณะนี้ ในข้อหาการละเมิดสนธิสัญญาเจนีวาซึ่งไทยเอ­งเป็นภาคีอยู่ด้วย...

เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้อำนาจยกเลิกหนังสือเดินทาง จับกุม คุมขัง ญาติพี่น้องในประเทศไทย รวมทั้ง การละเมิดสิทธิเสรีภาพของอย่างร้ายแรง โดยเรียกร้องให้ อาจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศและถูกย­กเลิกหนังสือเดินทาง ห้ามเข้าประเทศไทย ดำเนินการยื่นฟ้องเป็นคนแรก...
______________

แกน นำแดง ปลุกผู้ลี้ภัยเพราะรัฐประหาร ฟ้องแพ่ง"ประยุทธ์"ที่ศาลแมนฮัตตัน นิวยอร์ค

Red Thai with Red Thai V2

แกน นำแดง ปลุกผู้ลี้ภัยเพราะรัฐประหาร ฟ้องแพ่ง"ประยุทธ์"ที่ศาลแมนฮัตตัน นิวยอร์ค โดยเรียกร้องให้ อ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ดำเนินการยื่นฟ้องเป็นคนแรก .......

พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ จอม เพชรประดับ ใน Thaivoiemedia ....

กรณี นายประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าโจรกบฏ คสช นายกรัฐมนตรีที่ปล้นอำนาจประชาชน เดินทางมาร่วมประชุม ยูเอ็น ที่ นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ว่า..... คนไทยที่ลี้ภัยการเมืองอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร สามารถยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเขตพื้นที่ศาลแมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา..ได้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ พักชั่วคราวขณะนี้ ในข้อหาการละเมิดสนธิสัญญาเจนีวาซึ่งไทยเอ­งเป็นภาคีอยู่ด้วย...

เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้อำนาจยกเลิกหนังสือเดินทาง จับกุม คุมขัง ญาติพี่น้องในประเทศไทย รวมทั้ง การละเมิดสิทธิเสรีภาพของอย่างร้ายแรง โดยเรียกร้องให้ อาจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศและถูกย­กเลิกหนังสือเดินทาง ห้ามเข้าประเทศไทย ดำเนินการยื่นฟ้องเป็นคนแรก...
______________

นรม.กล่าวถ้อยแถลงใน Interactive Dialogue , UN Summit

บทเรียนสำคัญมดแดงล้มช้าง กรณีโจรกบฏเสนอหน้าไปพูดถึงยูเอ็น ชวนคิดชวนลุย โดย ดร.เพียงดิน รักไทย https://youtu.be/YFTu-j7A9eA
 



This man does not legitimately represent Thailand. Why did the United  Nations allow this dictator to sit in this respected and legal meeting? Ban Ki-Moon owes many Thais a good explanation.





อเนก ซานฟราน-ดร.เพียงดิน 25 ก.ย. 58 คนไทยใจทาสชูเผด็จการ และอนาคต ภาคีไท...

|||  
อเนก ซานฟราน-ดร.เพียงดิน 25 ก.ย. 58 คนไทยใจทาสชูเผด็จการ และอนาคต ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน
https://youtu.be/4MDSKrPFbUM


*************************
http://www.tprud.org มหาวิทยาลัยประชาชน นปช.ยูเอสเอ และเครือข่าย  สนับสนุนการเผยแพร่ เพื่อให้ความรู้และตีแผ่ความจริง
เพื่อสร้างสำนึกการปฏิวัติสู่การเป็นประชาธิปไตย ด้วยสันติวิธี
Truth, Peace, Revolution, Universal Human Rights, Democracy
คุ้มครองโดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (http://tahr-global.org)
-------------------------------------------------------------------------------------

ขอให้พี่น้องเชื่อมั่นในพลังของมดแดงล้มช้าง... แต่อย่าผลีผลามแสดงตัวให้เขาใช้ความรุนแรงจัดการกับพี่น้อง อย่าทำอย่างย่ามใจ อย่าทำเพื่อสะใจ อย่าหวังผลประโยชน์ และอย่าคิดเด่นดังหรืออิจฉาริษยากัน ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ noble mission ในการกู้ชาติ แล้วสร้างชาติใหม่ให้ลูกหลานนี้ เป็นสิ่งที่เราควรภูมิใจร่วมกันอย่างยิ่ง

หากท่านคิดดี หวังดี และมั่นใจในความดีของท่าน ขอให้ปาวารณาตัว ร่วมเป็นมดแดงล้มช้าง ได้ที่ https://docs.google.com/…/1-CEkC_xqXa6z8h2OjLYD8AK…/viewform
เพื่อร่วมเป็นฐานของการปฏิวัติในอนาคตอันใกล้นี้ และเริ่มต้นทำงานในฐานะมดแดงล้มช้างทันที (ข้อมูลทุกอย่าง เป็นความลับสุดยอด ดร.เพียงดิน รักไทย จะดูแลเองแต่ผู้เดียว และอย่าได้ติดตามลิ้งค์อื่นใด นอกจากลิ้งค์นี้จากเฟสบุ๊คของดร.เพียงดิน และลิ้งค์ที่อยู่ใต้ยูทูปวิดีโอของ มหาวิทยาลัยประชาชน Official เท่านั้น)





Download

ผบกระทบสิบประการ เมื่อ Single Gateway ที่รัฐบาลเผด็จการทำสำเร็จ

เครดิตทางไลน์

เมื่อ Single Gateway ที่รัฐบาลเผด็จการทำสำเร็จ 
 
1. คนบางตระกูลมีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น ไม่มีใครกล้าแอบด่า 
 
2. การเจาะข้อมูลหรือขโมยความลับ จะไม่ผิดกฎหมาย 
ไม่สามารถฟ้องร้องได้ สามารถเจาะข้อมูลทั้งจากบุคคล บริษัท 
องค์กรต่างๆโดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาล 
 
3. ข้าราชการหน่วยงาน ทหารไซเบอร์ ข้าราชการ ICT 
จะรวยกันมหาศาล เจาะข้อมูลเอง ขายข้อมูลเอง 
 
4. สามารถบล็อกเว็บข่าวต่างประเทศได้ทั้งหมด 
โดยไม่ต้องขอให้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตร่วมมือ 
 
5. บล็อกเว็บหรือปิดเว็บ การเมืองได้สบายขึ้น 
 
6. ไทยมีความมั่นคงเทียบเท่า จีน เกาหลีเหนือ เมียร์ม่าร์ 
 
7.. บล็อกเว็บหนังโป๋ได้อิสระ 
 
8. ค่าอินเตอร์เน็ต จะแพงขึ้นมหาศาล 
เมื่อสมัยที่ CAT คุมเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 
เราต้องใช้ modem 56 K ในราคาชั่วโมงละ 30-50 บาท 
ยังจำได้ไหม ปู่ย่ายังจำได้ไหม 
 
9. internet จะช้ากว่าเดิมอีกหลายเท่า 
นึกภาพสนามกีฬา เดิมมี 20 ประตู คนเดินเข้าออกไปสะดวก 
ปิดเหลือประตูเดียว แล้วมีทหารคอยตรวจค้นทีละคน 
 
10. ทหารจะได้งบประมาณที่ใช้ทำและค่าดูแลจะมหาศาล 
และเมื่อระบบเครือข่ายกลางล่ม internet ทั้งประเทศก็ล่มตาม

ผบกระทบสิบประการ เมื่อ Single Gateway ที่รัฐบาลเผด็จการทำสำเร็จ

เครดิตทางไลน์

เมื่อ Single Gateway ที่รัฐบาลเผด็จการทำสำเร็จ 
 
1. คนบางตระกูลมีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น ไม่มีใครกล้าแอบด่า 
 
2. การเจาะข้อมูลหรือขโมยความลับ จะไม่ผิดกฎหมาย 
ไม่สามารถฟ้องร้องได้ สามารถเจาะข้อมูลทั้งจากบุคคล บริษัท 
องค์กรต่างๆโดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาล 
 
3. ข้าราชการหน่วยงาน ทหารไซเบอร์ ข้าราชการ ICT 
จะรวยกันมหาศาล เจาะข้อมูลเอง ขายข้อมูลเอง 
 
4. สามารถบล็อกเว็บข่าวต่างประเทศได้ทั้งหมด 
โดยไม่ต้องขอให้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตร่วมมือ 
 
5. บล็อกเว็บหรือปิดเว็บ การเมืองได้สบายขึ้น 
 
6. ไทยมีความมั่นคงเทียบเท่า จีน เกาหลีเหนือ เมียร์ม่าร์ 
 
7.. บล็อกเว็บหนังโป๋ได้อิสระ 
 
8. ค่าอินเตอร์เน็ต จะแพงขึ้นมหาศาล 
เมื่อสมัยที่ CAT คุมเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 
เราต้องใช้ modem 56 K ในราคาชั่วโมงละ 30-50 บาท 
ยังจำได้ไหม ปู่ย่ายังจำได้ไหม 
 
9. internet จะช้ากว่าเดิมอีกหลายเท่า 
นึกภาพสนามกีฬา เดิมมี 20 ประตู คนเดินเข้าออกไปสะดวก 
ปิดเหลือประตูเดียว แล้วมีทหารคอยตรวจค้นทีละคน 
 
10. ทหารจะได้งบประมาณที่ใช้ทำและค่าดูแลจะมหาศาล 
และเมื่อระบบเครือข่ายกลางล่ม internet ทั้งประเทศก็ล่มตาม

ใช่สิ ทักษิณโกงกินบ้านเมืองชนิดมีหลักฐานเต็มตา

ย้ำอีกครั้ง  คนไทยลืมง่าย
คดีความที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยตลอดไป...

  1. สั่งสลายการชุมนุม : ยกฟ้อง
  2. สั่งฆ่าคนตาย 99 ศพ : ยกฟ้อง
  3. หนีทหาร : ยกฟ้อง
  4. ทุจริต GT200 : ยกฟ้อง
  5. โกงโรงพัก 396 แห่ง  : ยกฟ้อง
  6. โกงชุมชนพอเพียง โกงชาวบ้านตาดำๆ : ยกฟ้อง
  7. โกงไทยเข้มแข็ง มหากาพย์แบ่งเค๊กพรรคร่วม : ยกฟ้อง
  8. ทุจริตครุภัณฑ์อาชีวะศึกษา sp2 : ยกฟ้อง
  9. ทุจริตครุภัณฑ์สาธารณะสุข ล๊อคเสปค : ยกฟ้อง
  10. บุกรุกป่าสงวนเขาแพง : ยกฟ้อง
  11. ทุจริตปืนเล็กยาว (ทราโว่) : ยกฟ้อง
  12. ทุจริตรถหุ้มเกาะยูเครน (เอารถเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมาขาย): ยกฟ้อง
  13. ทุจริตประกันราคาข้าวอุ้มนายทุน: ยกฟ้อง
  14. ทุจริตแฟลตตำรวจ : ยกฟ้อง
  15. โยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม (จ่าเพียร)เกษียณด้วยชีวิต : ยกฟ้อง
  16. ทุจริตสั่งซื้อเครื่องบินการบินไทย : ยกฟ้อง
  17. ปรส. 800,000 ล้าน : ยกฟ้อง
  18. มิยาซาว่า : ยกฟ้อง
  19. ทุจริตคอมพ์โรงเรียน : ยกฟ้อง
  20. เช็คช่วยชาติ ซื้อเสียงล่วงหน้า : ยกฟ้อง
  21. ทุจริตปลากระป๋องชาวดอย ไม่มีโรงงานหนอนเพียบ : ยกฟ้อง
  22. นม(โรงเรียน)เน่า : ยกฟ้อง
  23. ข้าวบูด(ข้าวอยู่ในถุงยังชีพน๊ะจ๊ะ) : ยกฟ้อง
  24. โกงรถเมล์ : ยกฟ้อง
  25. ทุจริตเรือดับเพลิง (อภิรักษ์) แถมต้องเสียค่าเช่าที่จอดอีกหลายล้านและคดียังไม่สิ้นสุด ก็ต้องเสียไปเรื่อยๆสัส : ยกฟ้อง
  26. ทุจริตรถดับเพลิง (อภิรักษ์) : ยกฟ้อง
  27. ทุจริตสนามฟุตซอลหนองจอก ป่านนี้ก็ยังไม่เสร็จ : ยกฟ้อง
  28. ทุจริตโฮปเวล : ยกฟ้อง (เจ๊ปูสั่งทุบทิ้งไปแล้ว)
  29. ทุจริตงบประชาสัมพันธ์ ไอ้เตี้ยหนองใน : ยกฟ้อง
  30. ทุจริต จัดซื้อรถพยาบาล (รถกระบะหกแสน แม่งซื้อคันละล้าน): ยกฟ้อง
  31. ทุจริตรถไฟฟ้าสายสีม่วง เพิ่มงบไปอีกหลายหมื่นล้าน : ยกฟ้อง
  32. ทุจริตหัวรถจักร (หัวรถไฟ) ล๊อคสเปคเอื้อพวกพ้อง : ยกฟ้อง
  33. ทุจริตถนนปลอดฝุ่นหลายหมื่นล้านบาท จนปลัด"ทรัพย์ล้อม"รวยอื้อ : ยกฟ้อง
  34. ทุจริตงบภัยพิบัติฉุกเฉิน : ยกฟ้อง
  35. ทุจริตสอบเข้า ร.ร. นายอำเภอ แกล้งทำข้อสอบรั่ว : ยกฟ้อง
  36. ซื้อขายตำแหน่งตำรวจ จ่ายกันเป็นกิโลเมตร (กิโลเมตรละล้าน) :ยกฟ้อง
  37. ซื้อ-ขายตำแหน่งผู้ว่า : ยกฟ้อง
  38. จ้างฝรั่งคิดนโยบายชั่งไข่ 70 ล้านบาท : ยกฟ้อง
  39. ร้องเพลงชาติ จังหวัดละล้าน : ยกฟ้อง
  40. ทุจริตข้าวโพด : ยกฟ้อง
  41. รมต.ตปท. ด่าผู้นำประเทศ(กัมพูชา)ว่ากุ้ยบ้าๆบอๆ : ยกฟ้อง
  42. เปลี่ยนสนามการค้าเป็นสนามรบ : ยกฟ้อง
  43. ทุจริตเรือเหาะ 370 ล้านบาท : ยกฟ้อง
  44. จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง : ยกฟ้อง
  45. ทุจริตกล้องCCTV กล้องดัมมี่ : ยกฟ้อง
  46. ขึ้นค่าทางด่วนเอาใจนักลงทุน : ยกฟ้อง
  47. ทุจริตสต๊อกน้ำมันปาล์ม : ยกฟ้อง
  48. เป็นนายกแต่มี 2 สัญชาติ : ยกฟ้อง
  49. อุโมงค์ ดัมมี่ (กทม.) : ยกฟ้อง
  50. ทุจริตชุมชนพอเพียง : ยกฟ้อง
  51. SMS อภิสิทธิ์ ใช้ภาษีประชาชน : ยกฟ้อง
  52. ทุจริตคอมพ์กระทรวงมหาดไทย : ยกฟ้อง
  53. ทุจริตแบบเรียน ป.3 : ยกฟ้อง
  54. ทุจริตเสาธง โรงพยาบาลโคตรแพง : ยกฟ้อง
  55. ครม.อนุมัติแดกด่วน กู้ 600,000 ล้าน ก่อนยุบสภา : ยกฟ้อง
  56. ทุจิรตโครงการต้นกล้าอาชีพ 6,900 ล้านโครงการต้องล่มกลางคัน : ยกฟ้อง
  57. พรก.ฉุกเฉิน ปี 53 แจ้งกำลังเกินจริง งบกว่า 5,000 ล้าน : ยกฟ้อง
  58. ทุจริตตัดล๊อคเสปค รถบรรทุกทหาร 3 ตัน สามพันกว้าล้าน : ยกฟ้อง
  59. ทุจริตประมูลสินค้าเกษตรมันสำปะหลัง ไม่โปร่งใส : ยกฟ้อง
  60. ซื้อเครื่องบินการบินไทยไม่มีเก้าอี้ : ยกฟ้อง
  61. เครื่องยนต์เฮลิคอปเตอร์หาย 5 เครื่อง : ยกฟ้อง
  62. TAXI ป้ายดำ อิทธิพลเถื่อน : ยกฟ้อง
  63. มาเฟียจอดรถสนามบินเกี่ยวโยงพรรค ปชป. : ยกฟ้อง
  64. กรุงเทพธนาคม : ยกฟ้อง
  65. ที่จอดรถ TAXI อัจฉริยะ : ยกฟ้อง
  66. ป้ายโฆษณาอัจฉริยะ : ยกฟ้อง
  67. เรื่องการบินไทย : ยกฟ้อง 

**บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยจนชั่วลูกชั่วหลาน**

ใช่สิ ทักษิณโกงกินบ้านเมืองชนิดมีหลักฐานเต็มตา

ย้ำอีกครั้ง  คนไทยลืมง่าย
คดีความที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยตลอดไป...

  1. สั่งสลายการชุมนุม : ยกฟ้อง
  2. สั่งฆ่าคนตาย 99 ศพ : ยกฟ้อง
  3. หนีทหาร : ยกฟ้อง
  4. ทุจริต GT200 : ยกฟ้อง
  5. โกงโรงพัก 396 แห่ง  : ยกฟ้อง
  6. โกงชุมชนพอเพียง โกงชาวบ้านตาดำๆ : ยกฟ้อง
  7. โกงไทยเข้มแข็ง มหากาพย์แบ่งเค๊กพรรคร่วม : ยกฟ้อง
  8. ทุจริตครุภัณฑ์อาชีวะศึกษา sp2 : ยกฟ้อง
  9. ทุจริตครุภัณฑ์สาธารณะสุข ล๊อคเสปค : ยกฟ้อง
  10. บุกรุกป่าสงวนเขาแพง : ยกฟ้อง
  11. ทุจริตปืนเล็กยาว (ทราโว่) : ยกฟ้อง
  12. ทุจริตรถหุ้มเกาะยูเครน (เอารถเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมาขาย): ยกฟ้อง
  13. ทุจริตประกันราคาข้าวอุ้มนายทุน: ยกฟ้อง
  14. ทุจริตแฟลตตำรวจ : ยกฟ้อง
  15. โยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม (จ่าเพียร)เกษียณด้วยชีวิต : ยกฟ้อง
  16. ทุจริตสั่งซื้อเครื่องบินการบินไทย : ยกฟ้อง
  17. ปรส. 800,000 ล้าน : ยกฟ้อง
  18. มิยาซาว่า : ยกฟ้อง
  19. ทุจริตคอมพ์โรงเรียน : ยกฟ้อง
  20. เช็คช่วยชาติ ซื้อเสียงล่วงหน้า : ยกฟ้อง
  21. ทุจริตปลากระป๋องชาวดอย ไม่มีโรงงานหนอนเพียบ : ยกฟ้อง
  22. นม(โรงเรียน)เน่า : ยกฟ้อง
  23. ข้าวบูด(ข้าวอยู่ในถุงยังชีพน๊ะจ๊ะ) : ยกฟ้อง
  24. โกงรถเมล์ : ยกฟ้อง
  25. ทุจริตเรือดับเพลิง (อภิรักษ์) แถมต้องเสียค่าเช่าที่จอดอีกหลายล้านและคดียังไม่สิ้นสุด ก็ต้องเสียไปเรื่อยๆสัส : ยกฟ้อง
  26. ทุจริตรถดับเพลิง (อภิรักษ์) : ยกฟ้อง
  27. ทุจริตสนามฟุตซอลหนองจอก ป่านนี้ก็ยังไม่เสร็จ : ยกฟ้อง
  28. ทุจริตโฮปเวล : ยกฟ้อง (เจ๊ปูสั่งทุบทิ้งไปแล้ว)
  29. ทุจริตงบประชาสัมพันธ์ ไอ้เตี้ยหนองใน : ยกฟ้อง
  30. ทุจริต จัดซื้อรถพยาบาล (รถกระบะหกแสน แม่งซื้อคันละล้าน): ยกฟ้อง
  31. ทุจริตรถไฟฟ้าสายสีม่วง เพิ่มงบไปอีกหลายหมื่นล้าน : ยกฟ้อง
  32. ทุจริตหัวรถจักร (หัวรถไฟ) ล๊อคสเปคเอื้อพวกพ้อง : ยกฟ้อง
  33. ทุจริตถนนปลอดฝุ่นหลายหมื่นล้านบาท จนปลัด"ทรัพย์ล้อม"รวยอื้อ : ยกฟ้อง
  34. ทุจริตงบภัยพิบัติฉุกเฉิน : ยกฟ้อง
  35. ทุจริตสอบเข้า ร.ร. นายอำเภอ แกล้งทำข้อสอบรั่ว : ยกฟ้อง
  36. ซื้อขายตำแหน่งตำรวจ จ่ายกันเป็นกิโลเมตร (กิโลเมตรละล้าน) :ยกฟ้อง
  37. ซื้อ-ขายตำแหน่งผู้ว่า : ยกฟ้อง
  38. จ้างฝรั่งคิดนโยบายชั่งไข่ 70 ล้านบาท : ยกฟ้อง
  39. ร้องเพลงชาติ จังหวัดละล้าน : ยกฟ้อง
  40. ทุจริตข้าวโพด : ยกฟ้อง
  41. รมต.ตปท. ด่าผู้นำประเทศ(กัมพูชา)ว่ากุ้ยบ้าๆบอๆ : ยกฟ้อง
  42. เปลี่ยนสนามการค้าเป็นสนามรบ : ยกฟ้อง
  43. ทุจริตเรือเหาะ 370 ล้านบาท : ยกฟ้อง
  44. จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง : ยกฟ้อง
  45. ทุจริตกล้องCCTV กล้องดัมมี่ : ยกฟ้อง
  46. ขึ้นค่าทางด่วนเอาใจนักลงทุน : ยกฟ้อง
  47. ทุจริตสต๊อกน้ำมันปาล์ม : ยกฟ้อง
  48. เป็นนายกแต่มี 2 สัญชาติ : ยกฟ้อง
  49. อุโมงค์ ดัมมี่ (กทม.) : ยกฟ้อง
  50. ทุจริตชุมชนพอเพียง : ยกฟ้อง
  51. SMS อภิสิทธิ์ ใช้ภาษีประชาชน : ยกฟ้อง
  52. ทุจริตคอมพ์กระทรวงมหาดไทย : ยกฟ้อง
  53. ทุจริตแบบเรียน ป.3 : ยกฟ้อง
  54. ทุจริตเสาธง โรงพยาบาลโคตรแพง : ยกฟ้อง
  55. ครม.อนุมัติแดกด่วน กู้ 600,000 ล้าน ก่อนยุบสภา : ยกฟ้อง
  56. ทุจิรตโครงการต้นกล้าอาชีพ 6,900 ล้านโครงการต้องล่มกลางคัน : ยกฟ้อง
  57. พรก.ฉุกเฉิน ปี 53 แจ้งกำลังเกินจริง งบกว่า 5,000 ล้าน : ยกฟ้อง
  58. ทุจริตตัดล๊อคเสปค รถบรรทุกทหาร 3 ตัน สามพันกว้าล้าน : ยกฟ้อง
  59. ทุจริตประมูลสินค้าเกษตรมันสำปะหลัง ไม่โปร่งใส : ยกฟ้อง
  60. ซื้อเครื่องบินการบินไทยไม่มีเก้าอี้ : ยกฟ้อง
  61. เครื่องยนต์เฮลิคอปเตอร์หาย 5 เครื่อง : ยกฟ้อง
  62. TAXI ป้ายดำ อิทธิพลเถื่อน : ยกฟ้อง
  63. มาเฟียจอดรถสนามบินเกี่ยวโยงพรรค ปชป. : ยกฟ้อง
  64. กรุงเทพธนาคม : ยกฟ้อง
  65. ที่จอดรถ TAXI อัจฉริยะ : ยกฟ้อง
  66. ป้ายโฆษณาอัจฉริยะ : ยกฟ้อง
  67. เรื่องการบินไทย : ยกฟ้อง 

**บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยจนชั่วลูกชั่วหลาน**

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กล่าวปิดงานสัมมนา จับชีพจรประเทศไทย



Download

Thursday, September 24, 2015

TV24 24-09-58 News Room 18.30 - สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ สหรัฐ กุลศรี - ชีวิต...



Download

‘ทักษิณ’ แกล้งตายหรือใกล้ตาย?? โดยพูลเดช กรรณิการ์

'ทักษิณ' แกล้งตายหรือใกล้ตาย?? โดยพูลเดช กรรณิการ์


'ทักษิณ' แกล้งตายหรือใกล้ตาย?? โดยพูลเดช กรรณิการ์
Last updated: 23 September 2015 | 21:47
ท่าทีล่าสุดของ ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างพำนักอยู่ที่ฮ่องกง ที่เปิดเผยผ่านทางแกนนำคนเสื้อแดง คือ นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร และผ่านทาง นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัว ตรงข้ามกับความคาดหมายของหลายคนที่คิดว่าทักษิณจะต้องออกมา "ชน" กับ คสช.อีกรอบ และการมาฮ่องกงก็คือการมาบัญชาการรบระลอกใหม่

 เพราะก่อนหน้านี้ ทักษิณออกมาดับเครื่องชน คสช.อย่างรุนแรง เริ่มจากการออกมาพูดถึงเบื้องหลังการปฏิวัติเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีการยึดอำนาจของ คสช. และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยการท้าทายให้ คสช.ถอดยศ รวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์ คสช.ในหลายเรื่อง เช่น เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ ระหว่างที่เดินทางไปพบคนไทยในฟินแลนด์และเยอรมัน

 แต่ท่าทีล่าสุดระหว่างอยู่ในฮ่องกงเหมือนหนังคนละม้วน

 โดยนายขวัญชัยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ระหว่างที่ ทักษิณพำนักอยู่ที่ฮ่องกงว่า ได้พูดคุยกับอดีตนายกฯทักษิณที่บอกกับเขาว่าให้แกล้งตายนานขึ้นอีกนิด สถานการณ์เวลานี้ให้นิ่งเฉยก่อน อย่าตื่นตระหนก และแกล้งตาย

 "ท่านบอกผมว่า ให้คอยกระทั่งเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งนั่นจะเป็นช่วงที่เราจะได้รับชัยชนะ ตอนนี้มีเพียงแค่คำถามที่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่" นายขวัญชัยกล่าวกับรอยเตอร์

 เป็นที่น่าสังเกตว่า นายขวัญชัยระบุกับรอยเตอร์ว่า ได้พูดคุยกับทักษิณเมื่อประมาณหนึ่งเดือนมาแล้ว ซึ่งเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วทักษิณยังเดินสาย โจมตี คสช.อยู่ในยุโรป แล้วจะสั่งไพร่พลให้แกล้งตายหรือ เพราะที่จริงจะต้องสั่งสู้

 จากข้อสังเกตข้างต้น จึงเป็นไปได้สองทาง คือ หนึ่ง นายขวัญชัยเพิ่งคุยกับทักษิณในช่วงที่ทักษิณอยู่ในฮ่องกงนี่แหละ  และทักษิณได้เปลี่ยนท่าทีผ่านมาทางนายขวัญชัย สอง มีการพูดคุยกันระหว่าง คสช.กับตัวแทนทักษิณในเมืองไทย และตกลงกันได้ โดยให้ทักษิณหยุดความเคลื่อนไหวในช่วงนี้ เพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง ซึ่งทักษิณก็ตอบตกลง โดยนายขวัญชัยน่าจะมีส่วนอยู่ในการพูดคุยลับครั้งนี้ด้วย จึงถูกมอบหมายให้เป็นผู้ออกมาส่งสัญญาณถึงไพร่พลของทักษิณโดยอ้างทักษิณ

 อีกคนหนึ่งที่ออกมาพูดถึงท่าทีของทักษิณในช่วงที่ ทักษิณอยู่ในฮ่องกง แต่ครั้งนี้ไม่ได้พูดโดยอ้างคำพูดทักษิณเหมือนเคย คือ นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัว ที่กล่าวว่า ที่มีแหล่งข่าวใกล้ชิดอ้างว่าทักษิณจะออกคลิปวิจารณ์การเมืองและ คสช.นั้น ตนไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ให้ข่าว แต่เชื่อว่าจะไม่มีการออกคลิปใดๆ เพราะอดีตนายกฯคงอยากจะใช้ชีวิตเงียบๆ และไม่ประสงค์จะเป็นเงื่อนไขที่ถูกโยงไปให้เกิดความขัดแย้ง และคงจะไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในประเทศ ดังนั้นแหล่งข่าวข้างต้นจึงให้ข่าวที่คลาดเคลื่อนจากความจริง

 คำพูดของนายนพดลคือการพยายามยืนยันว่า ทักษิณหยุดรบ และจะไม่ออกมาชนกับ คสช. ซึ่งมีความหมายสอดคล้องกับที่นายขวัญชัยบอกว่า "แกล้งตาย"

 ทำไมทั้งนายขวัญชัยและนายนพดลถึงต้องออกมาพูดแทน "นายใหญ่" ว่า "แกล้งตาย"

 หนึ่ง เพราะทักษิณออกมาพูดเองไม่ได้ว่า แกล้งตาย เพราะหากพูดเองจะทำให้ไพร่พลในฝ่ายฮาร์ดคอร์ที่ต้องการให้สู้เสียศรัทธา สอง ทั้งนายขวัญชัยและนายนพดลมองเห็นแล้วว่า สถานการณ์ในตอนนี้สู้ไปก็ "ตายจริงๆ" สาม เพื่อส่งสัญญาณตอบรับไปยัง คสช.ว่าจะหยุดรบ จนกว่าจะถึงเลือกตั้ง ขานรับตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ออกมาพูดถึงทักษิณว่า "ผมก็อยากให้ท่านอยู่เฉยๆก่อน ถ้าท่านอยากจะเล่นอะไร พรรคพวกจะทำอะไร ก็รอหลังมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง แต่ตอนนี้ขอให้นายกฯทำงานก่อน"

 ข่าวว่า "บิ๊กป้อม" พูด ถึงทักษิณอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ไม่ได้เคร่งเครียดอะไร คล้ายกับแน่ใจว่ายังไงทักษิณก็ต้องตอบรับ หรืออาจได้รับสัญญาณจากทักษิณมาแล้วว่าจะหยุด (แกล้งตาย)

 คล้ายเป็นอาการอารมณ์ดีของผู้ชนะ

 ทำไมทักษิณและแกนนำมวลชนคนสำคัญอย่างนายขวัญชัยและที่ปรึกษากฎหมายคู่ใจอย่างนายนพดล จึง "แกล้งตาย" ง่ายดายนัก

 หรือแท้ที่จริงกำลัง "ใกล้ตาย" จึงแสร้งทำเป็น "แกล้งตาย" เพื่อกลบเกลื่อน

 ถูกต้อง ทักษิณกำลังใกล้ตาย เพราะสถานการณ์หลายอย่างตกอยู่ในกำมือหรือการควบคุมของ คสช.เบ็ดเสร็จแล้ว

 หนึ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องชดใช้ค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว 5 แสน 1 หมื่นล้านบาท หากไม่จ่ายเงินชดใช้ก็จะถูกยึดทรัพย์ นอกจากนี้ยิ่งลักษณ์อาจติดคุกจากคดีเดียวกันนี้ด้วย

 อย่างนี้เรียกว่าใกล้ตาย ไม่ใช่แกล้งตาย เพราะเมื่อ คสช.และรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าในเรื่องเรียกชดใช้ค่าเสียหาย ทุกอย่างก็ต้องเดินหน้า และหยุดไม่ได้

 ทักษิณเจอดอกนี้เข้าไป ถึงกับนิ่งและแก้ลำไม่ออก แม้กระทั่งมุกเดิมที่เคยนำมาใช้สมัยตัวเองถูกยึดทรัพย์ โดยอ้างเป็นเรื่องการเมือง และเป็นเรื่องการใช้อำนาจจากคณะปฏิวัติ ก็นึกไม่ออก และไม่งัดมาใช้ เพราะเงินตั้ง 5 แสนล้าน เป็นใครก็ต้องมึน

 สอง พานทองแท้ ชินวัตร ก็คอขึ้นเขียงในคดีทุจริตแบงก์กรุงไทยเช่นกัน หาก คสช.และรัฐบาลเดินหน้าอย่างจริงจัง โดยไม่กลัวว่าจะถูกแฉกลับว่ามีคนในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีส่วนรับผลประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตนี้

 สถานการณ์ของนายพานทองแท้ก็ถือว่าใกล้ตายตามยิ่งลักษณ์ไปอีกคน ทั้งน้องสาว ทั้งลูกชาย ใกล้ตาย

 สาม แกนนำคนสำคัญในเครือข่ายทักษิณ ทั้งแกนนำในพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เข้าคุกไปครึ่งตัวเกือบทุกคนแล้ว เนื่องจากถูกศาลตัดสินจำคุก และทุกคนอยู่ในระหว่างประกันตัว ดังนั้น หากมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะต่อต้าน คสช.อีก ก็หนีไม่พ้นจะต้องเข้าไปอยู่ในคุกเต็มตัว

 ดังนั้น สถานการณ์ในส่วนไพร่พลของทักษิณถือว่า เดี้ยงทั้งกองทัพ ขณะที่อีกบางส่วนก็ต้องหนีไปต่างประเทศ ไม่มีทางที่จะลุกขึ้นสู้กับ คสช.ได้ในตอนนี้ ถึงไม่อยากแกล้งตาย ก็ต้องแกล้งตาย ซึ่งที่จริงคือตายจริงๆแล้วในตอนนี้

 สี่ นี่ยังไม่รวมกับการที่ คสช.และรัฐบาลเปิดเกมบุกรุกเข้าสู่พื้นที่ฐานมวลชนรากหญ้าของทักษิณ โดยใช้อดีตขุนพลคู่ใจของทักษิณ คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้าไป "ย้อนเกล็ด" ทักษิณ ซึ่งทักษิณยังรับมือไม่ถูกว่าจะสู้อย่างไรกับเกมบุกครั้งนี้ หรืออาจต้องยอมถูกบุกไปก่อน เพื่อต่อรองหรือแลกกับอะไรบางอย่าง

 ทั้งสี่สถานการณ์ข้างต้น ซึ่งอยู่ในกำมือของ คสช.ถึง 3 สถานการณ์ ยกเว้นสถานการณ์ที่สี่ ทำให้ทักษิณต้องแกล้งตาย โดยบอกว่าจะไปสู้ในตอนเลือกตั้ง ซึ่งมั่นใจว่าตัวเองจะชนะอีกครั้ง

 ซึ่งเป็นการแกล้งตาย เพื่อรักษาชีวิตยิ่งลักษณ์ พานทองแท้ และแกนนำคนสำคัญ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ แกล้งตายเพื่อหวังต่อรองไม่ให้ถูกชดใช้ค่าเสียหายและถูกยึดทรัพย์อีกรอบ

 ทว่า หากมองให้ขาดจะพบว่า การแกล้งตายครั้งนี้ จะนำไปสู่การตายจริงๆของระบอบทักษิณในที่สุด เพราะยังไงคดีของยิ่งลักษณ์ พานทองแท้ และแกนนำคนสำคัญ นั้นก็ไม่สามารถ "ถอยหลัง" ได้ (ก็เหมือนกับคดีของทักษิณ) ทุกคดียังไงก็ต้องเดินหน้า อย่างดีที่ทำได้คือถ่วงเวลาไว้เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าทักษิณจะไม่สามารถลุกขึ้นต่อกรกับ คสช.ได้อีกเลย ขณะที่อีกด้านหนึ่ง คสช.ก็จะต้องใช้ห้วงเวลาที่ทักษิณแกล้งตาย รุกคืบขจัดฐานกำลังและยึดคืนพื้นที่ทางการเมืองทุกอย่างของทักษิณกลับคืน รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อตัดรากถอนโคนระบอบทักษิณอย่างสิ้นซาก

 ดังนั้น เมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ทักษิณคงจะไม่มีแรงเคลื่อนไหวอะไรอีก เพราะ คสช.คงไม่ยอมปล่อยให้ทักษิณแกล้งตาย แต่คงทำให้ตายจริงๆไปเลย ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า!!!

 

First posted: 23 September 2015 | 16:09

‘ทักษิณ’ แกล้งตายหรือใกล้ตาย?? โดยพูลเดช กรรณิการ์

'ทักษิณ' แกล้งตายหรือใกล้ตาย?? โดยพูลเดช กรรณิการ์


'ทักษิณ' แกล้งตายหรือใกล้ตาย?? โดยพูลเดช กรรณิการ์
Last updated: 23 September 2015 | 21:47
ท่าทีล่าสุดของ ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างพำนักอยู่ที่ฮ่องกง ที่เปิดเผยผ่านทางแกนนำคนเสื้อแดง คือ นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร และผ่านทาง นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัว ตรงข้ามกับความคาดหมายของหลายคนที่คิดว่าทักษิณจะต้องออกมา "ชน" กับ คสช.อีกรอบ และการมาฮ่องกงก็คือการมาบัญชาการรบระลอกใหม่

 เพราะก่อนหน้านี้ ทักษิณออกมาดับเครื่องชน คสช.อย่างรุนแรง เริ่มจากการออกมาพูดถึงเบื้องหลังการปฏิวัติเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีการยึดอำนาจของ คสช. และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยการท้าทายให้ คสช.ถอดยศ รวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์ คสช.ในหลายเรื่อง เช่น เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ ระหว่างที่เดินทางไปพบคนไทยในฟินแลนด์และเยอรมัน

 แต่ท่าทีล่าสุดระหว่างอยู่ในฮ่องกงเหมือนหนังคนละม้วน

 โดยนายขวัญชัยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ระหว่างที่ ทักษิณพำนักอยู่ที่ฮ่องกงว่า ได้พูดคุยกับอดีตนายกฯทักษิณที่บอกกับเขาว่าให้แกล้งตายนานขึ้นอีกนิด สถานการณ์เวลานี้ให้นิ่งเฉยก่อน อย่าตื่นตระหนก และแกล้งตาย

 "ท่านบอกผมว่า ให้คอยกระทั่งเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งนั่นจะเป็นช่วงที่เราจะได้รับชัยชนะ ตอนนี้มีเพียงแค่คำถามที่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่" นายขวัญชัยกล่าวกับรอยเตอร์

 เป็นที่น่าสังเกตว่า นายขวัญชัยระบุกับรอยเตอร์ว่า ได้พูดคุยกับทักษิณเมื่อประมาณหนึ่งเดือนมาแล้ว ซึ่งเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วทักษิณยังเดินสาย โจมตี คสช.อยู่ในยุโรป แล้วจะสั่งไพร่พลให้แกล้งตายหรือ เพราะที่จริงจะต้องสั่งสู้

 จากข้อสังเกตข้างต้น จึงเป็นไปได้สองทาง คือ หนึ่ง นายขวัญชัยเพิ่งคุยกับทักษิณในช่วงที่ทักษิณอยู่ในฮ่องกงนี่แหละ  และทักษิณได้เปลี่ยนท่าทีผ่านมาทางนายขวัญชัย สอง มีการพูดคุยกันระหว่าง คสช.กับตัวแทนทักษิณในเมืองไทย และตกลงกันได้ โดยให้ทักษิณหยุดความเคลื่อนไหวในช่วงนี้ เพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง ซึ่งทักษิณก็ตอบตกลง โดยนายขวัญชัยน่าจะมีส่วนอยู่ในการพูดคุยลับครั้งนี้ด้วย จึงถูกมอบหมายให้เป็นผู้ออกมาส่งสัญญาณถึงไพร่พลของทักษิณโดยอ้างทักษิณ

 อีกคนหนึ่งที่ออกมาพูดถึงท่าทีของทักษิณในช่วงที่ ทักษิณอยู่ในฮ่องกง แต่ครั้งนี้ไม่ได้พูดโดยอ้างคำพูดทักษิณเหมือนเคย คือ นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัว ที่กล่าวว่า ที่มีแหล่งข่าวใกล้ชิดอ้างว่าทักษิณจะออกคลิปวิจารณ์การเมืองและ คสช.นั้น ตนไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ให้ข่าว แต่เชื่อว่าจะไม่มีการออกคลิปใดๆ เพราะอดีตนายกฯคงอยากจะใช้ชีวิตเงียบๆ และไม่ประสงค์จะเป็นเงื่อนไขที่ถูกโยงไปให้เกิดความขัดแย้ง และคงจะไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในประเทศ ดังนั้นแหล่งข่าวข้างต้นจึงให้ข่าวที่คลาดเคลื่อนจากความจริง

 คำพูดของนายนพดลคือการพยายามยืนยันว่า ทักษิณหยุดรบ และจะไม่ออกมาชนกับ คสช. ซึ่งมีความหมายสอดคล้องกับที่นายขวัญชัยบอกว่า "แกล้งตาย"

 ทำไมทั้งนายขวัญชัยและนายนพดลถึงต้องออกมาพูดแทน "นายใหญ่" ว่า "แกล้งตาย"

 หนึ่ง เพราะทักษิณออกมาพูดเองไม่ได้ว่า แกล้งตาย เพราะหากพูดเองจะทำให้ไพร่พลในฝ่ายฮาร์ดคอร์ที่ต้องการให้สู้เสียศรัทธา สอง ทั้งนายขวัญชัยและนายนพดลมองเห็นแล้วว่า สถานการณ์ในตอนนี้สู้ไปก็ "ตายจริงๆ" สาม เพื่อส่งสัญญาณตอบรับไปยัง คสช.ว่าจะหยุดรบ จนกว่าจะถึงเลือกตั้ง ขานรับตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ออกมาพูดถึงทักษิณว่า "ผมก็อยากให้ท่านอยู่เฉยๆก่อน ถ้าท่านอยากจะเล่นอะไร พรรคพวกจะทำอะไร ก็รอหลังมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง แต่ตอนนี้ขอให้นายกฯทำงานก่อน"

 ข่าวว่า "บิ๊กป้อม" พูด ถึงทักษิณอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ไม่ได้เคร่งเครียดอะไร คล้ายกับแน่ใจว่ายังไงทักษิณก็ต้องตอบรับ หรืออาจได้รับสัญญาณจากทักษิณมาแล้วว่าจะหยุด (แกล้งตาย)

 คล้ายเป็นอาการอารมณ์ดีของผู้ชนะ

 ทำไมทักษิณและแกนนำมวลชนคนสำคัญอย่างนายขวัญชัยและที่ปรึกษากฎหมายคู่ใจอย่างนายนพดล จึง "แกล้งตาย" ง่ายดายนัก

 หรือแท้ที่จริงกำลัง "ใกล้ตาย" จึงแสร้งทำเป็น "แกล้งตาย" เพื่อกลบเกลื่อน

 ถูกต้อง ทักษิณกำลังใกล้ตาย เพราะสถานการณ์หลายอย่างตกอยู่ในกำมือหรือการควบคุมของ คสช.เบ็ดเสร็จแล้ว

 หนึ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องชดใช้ค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว 5 แสน 1 หมื่นล้านบาท หากไม่จ่ายเงินชดใช้ก็จะถูกยึดทรัพย์ นอกจากนี้ยิ่งลักษณ์อาจติดคุกจากคดีเดียวกันนี้ด้วย

 อย่างนี้เรียกว่าใกล้ตาย ไม่ใช่แกล้งตาย เพราะเมื่อ คสช.และรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าในเรื่องเรียกชดใช้ค่าเสียหาย ทุกอย่างก็ต้องเดินหน้า และหยุดไม่ได้

 ทักษิณเจอดอกนี้เข้าไป ถึงกับนิ่งและแก้ลำไม่ออก แม้กระทั่งมุกเดิมที่เคยนำมาใช้สมัยตัวเองถูกยึดทรัพย์ โดยอ้างเป็นเรื่องการเมือง และเป็นเรื่องการใช้อำนาจจากคณะปฏิวัติ ก็นึกไม่ออก และไม่งัดมาใช้ เพราะเงินตั้ง 5 แสนล้าน เป็นใครก็ต้องมึน

 สอง พานทองแท้ ชินวัตร ก็คอขึ้นเขียงในคดีทุจริตแบงก์กรุงไทยเช่นกัน หาก คสช.และรัฐบาลเดินหน้าอย่างจริงจัง โดยไม่กลัวว่าจะถูกแฉกลับว่ามีคนในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีส่วนรับผลประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตนี้

 สถานการณ์ของนายพานทองแท้ก็ถือว่าใกล้ตายตามยิ่งลักษณ์ไปอีกคน ทั้งน้องสาว ทั้งลูกชาย ใกล้ตาย

 สาม แกนนำคนสำคัญในเครือข่ายทักษิณ ทั้งแกนนำในพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เข้าคุกไปครึ่งตัวเกือบทุกคนแล้ว เนื่องจากถูกศาลตัดสินจำคุก และทุกคนอยู่ในระหว่างประกันตัว ดังนั้น หากมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะต่อต้าน คสช.อีก ก็หนีไม่พ้นจะต้องเข้าไปอยู่ในคุกเต็มตัว

 ดังนั้น สถานการณ์ในส่วนไพร่พลของทักษิณถือว่า เดี้ยงทั้งกองทัพ ขณะที่อีกบางส่วนก็ต้องหนีไปต่างประเทศ ไม่มีทางที่จะลุกขึ้นสู้กับ คสช.ได้ในตอนนี้ ถึงไม่อยากแกล้งตาย ก็ต้องแกล้งตาย ซึ่งที่จริงคือตายจริงๆแล้วในตอนนี้

 สี่ นี่ยังไม่รวมกับการที่ คสช.และรัฐบาลเปิดเกมบุกรุกเข้าสู่พื้นที่ฐานมวลชนรากหญ้าของทักษิณ โดยใช้อดีตขุนพลคู่ใจของทักษิณ คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้าไป "ย้อนเกล็ด" ทักษิณ ซึ่งทักษิณยังรับมือไม่ถูกว่าจะสู้อย่างไรกับเกมบุกครั้งนี้ หรืออาจต้องยอมถูกบุกไปก่อน เพื่อต่อรองหรือแลกกับอะไรบางอย่าง

 ทั้งสี่สถานการณ์ข้างต้น ซึ่งอยู่ในกำมือของ คสช.ถึง 3 สถานการณ์ ยกเว้นสถานการณ์ที่สี่ ทำให้ทักษิณต้องแกล้งตาย โดยบอกว่าจะไปสู้ในตอนเลือกตั้ง ซึ่งมั่นใจว่าตัวเองจะชนะอีกครั้ง

 ซึ่งเป็นการแกล้งตาย เพื่อรักษาชีวิตยิ่งลักษณ์ พานทองแท้ และแกนนำคนสำคัญ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ แกล้งตายเพื่อหวังต่อรองไม่ให้ถูกชดใช้ค่าเสียหายและถูกยึดทรัพย์อีกรอบ

 ทว่า หากมองให้ขาดจะพบว่า การแกล้งตายครั้งนี้ จะนำไปสู่การตายจริงๆของระบอบทักษิณในที่สุด เพราะยังไงคดีของยิ่งลักษณ์ พานทองแท้ และแกนนำคนสำคัญ นั้นก็ไม่สามารถ "ถอยหลัง" ได้ (ก็เหมือนกับคดีของทักษิณ) ทุกคดียังไงก็ต้องเดินหน้า อย่างดีที่ทำได้คือถ่วงเวลาไว้เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าทักษิณจะไม่สามารถลุกขึ้นต่อกรกับ คสช.ได้อีกเลย ขณะที่อีกด้านหนึ่ง คสช.ก็จะต้องใช้ห้วงเวลาที่ทักษิณแกล้งตาย รุกคืบขจัดฐานกำลังและยึดคืนพื้นที่ทางการเมืองทุกอย่างของทักษิณกลับคืน รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อตัดรากถอนโคนระบอบทักษิณอย่างสิ้นซาก

 ดังนั้น เมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ทักษิณคงจะไม่มีแรงเคลื่อนไหวอะไรอีก เพราะ คสช.คงไม่ยอมปล่อยให้ทักษิณแกล้งตาย แต่คงทำให้ตายจริงๆไปเลย ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า!!!

 

First posted: 23 September 2015 | 16:09

เลห์กลในสงครามข่าวสาร ของเผด็จการศักดินา

เลห์กลในสงครามข่าวสาร  ของเผด็จการศักดินา
.........................

ผด็จการ(ทหาร)+อำมาตย์มีวิธีการเล่นสงครามข่าวโดยการเอาข่าวหนึ่งมากลบอีก ข่าวหนึ่งเพื่อเบี่ยงเบนกระแสต่อต้านของประชาชนขอให้พี่น้องฝ่ายปชต.รู้เท่า ทันเลห์กลอันชั่วร้ายของเผด็จการศักดินายกตัวอย่างเหตุการณ์ข่าวที่ผ่านมา ดังนี้

1.ข่าวนักศึกษาดาวดินถูกจับกุมขังเริ่มก่อกระแสความไม่พอใจของประชาชนไปในวง กว้างมากยิ่งขึ้นในห้วงเวลาเดียวกันนั้นก็มีข่าวน้องแตงโม.แตงเน่ากินยาฆ่า ตัวตายหลังจากผิดหวังจากโตโน่ข่าวกินยาฆ่าตัวตายของน้องแตงเน่าถูกปลุกความ สนใจมากกว่าข่าวนักศึกษาดาวดินที่ถูกคุมขัง

2.ข่าวรัฐบาลประยุทธส่งผู้อพยพอุยกูร์ให้จีนได้สร้างความไม่พอใจของผู้ นับถือศาสนาอิสลามไปอย่างกว้างขวางเริ่มก่อกระแสความไม่พอใจของคนไทยไปในวง กว้างในระหว่างนั้นก็มีข่าวว่าจีนพบกล่องดำของสายการบินมาเลย์เซียแอร์ไลน์ ที่สูญหายไปและรัฐบาลมาเลเซียสร้างความผิดพลาดจนทำให้คนบนเครื่องบินต้องหาย สาปสูญ
ข่าวดังกล่าว มีผลให้ข่าวส่งผู้อพยพอุยกูร์เบาบางลงและเริ่มเงียบไปจนมาเกิดเหตุระเบิดราช ประสงค์เรื่องราวดังกล่าวจึงถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง

3.ข่าวผู้รักประชาธิปไตยแสดงออกด้วยการเดินจาก มธ.ไปอนุเสาวรีย์ ปชต.สามารถกระตุ้นให้ประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความเป็นประชาธิปไตยและในขณะ เดียวกันที่บิ๊กเหล่ประยุทธเตรียมตัวเดินทางไปนิวยอร์คได้เกิดกระแสเตรียม การประท้วงโดยคนไทยผู้รักปชต.ที่หน้าองค์การสหประชาชาตินิวยอร์คและเริ่มจุด กระแสความสนใจของผู้รักปชต.ไปทั่วประเทศ
.....อยู่ดีๆก็มีข่าว"ตั้น" จิตภัส กฤดากร(ภิรมย์ภักดี) กำลังจะได้รับการติดยศเป็นร.ต.ต.หญิงตำเหน่งรองสารวัตรข่าวดังกล่าวจุดพลุ ความไม่พอใจต่อวงการตำรวจและผู้รักปชต.อย่างรุนแรงเพราะตั้นคือหนึ่งใน นกหวีดที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีตำรวจและขบวนหารยุติธรรมแต่ข่าวดังกล่าวมีผลให้ ข่าวความไม่ชอบธรรมหรือเลวร้ายของรัฐบาลเผด็จการทหารที่กำลังเกิดกระแสต่อ ต้านไปทั่วประเทศได้ถูกกลบด้วยข่าว"ตั้น"ในชั่วข้ามคืน

................................

หมายเหตุ
1.กรณีข่าวจากเหตุการณ์ต่างๆทำให้มองเห็นเลห์กลของเผด็จการศักดินาที่พยายามเบี่ยงเบนความสนใจต่อการกระทำอันล้มเหลวของตนเอง

2.ประชาชนผู้รักปชต.ที่กำลังต่อสู้กับเผด็จการศักดินาควรรู้เล่ห์กลในการ เล่นสงครามข่าวสารเพราะฝ่ายเผด็จการศักดินาจะอาศัยประสบการณ์ เครื่องมือรัฐตลอดจนกลไกราชการเพื่อกลบเกลื่อนหรือเบี่ยงเบนข่าวสาร ที่มีผลกระทบต่อตัวเอง

3.ข่าวของบุคคลบางคน จะมีอิทธิพลในการจูงใจต่อความสนใจค่อนข้างแรงเช่นข่าวแตงโมข่าวตั้น ซึ่งเป็นบุคคลที่ฝ่ายปชต.ไม่พอใจและเกลียดชังอยู่แล้วการเล่นข่าวของบุคคล ดังกบ่าวของเผด็จการศักดินาจะสามารถกลบเกลื่อนหรือเบียงเบนความสนใจของ ประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้นประชาชนผู้รักปชต.ควรรู้เท่าทันหากจะติดตามข่าว"ตั้น"ได้รับการอวยยศ หรือไม่ก็ไม่ควรทิ้งเป้าหมายในการเล่นข่าวความเลวร้ายหรือล้มเหวจากการกระทำ อันไม่ชอบธรรมของเผด็จการศักดินาเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายในความเป็น ประชาธิปไตย..อย่างแท้จริง

เลห์กลในสงครามข่าวสาร ของเผด็จการศักดินา

เลห์กลในสงครามข่าวสาร  ของเผด็จการศักดินา
.........................

ผด็จการ(ทหาร)+อำมาตย์มีวิธีการเล่นสงครามข่าวโดยการเอาข่าวหนึ่งมากลบอีก ข่าวหนึ่งเพื่อเบี่ยงเบนกระแสต่อต้านของประชาชนขอให้พี่น้องฝ่ายปชต.รู้เท่า ทันเลห์กลอันชั่วร้ายของเผด็จการศักดินายกตัวอย่างเหตุการณ์ข่าวที่ผ่านมา ดังนี้

1.ข่าวนักศึกษาดาวดินถูกจับกุมขังเริ่มก่อกระแสความไม่พอใจของประชาชนไปในวง กว้างมากยิ่งขึ้นในห้วงเวลาเดียวกันนั้นก็มีข่าวน้องแตงโม.แตงเน่ากินยาฆ่า ตัวตายหลังจากผิดหวังจากโตโน่ข่าวกินยาฆ่าตัวตายของน้องแตงเน่าถูกปลุกความ สนใจมากกว่าข่าวนักศึกษาดาวดินที่ถูกคุมขัง

2.ข่าวรัฐบาลประยุทธส่งผู้อพยพอุยกูร์ให้จีนได้สร้างความไม่พอใจของผู้ นับถือศาสนาอิสลามไปอย่างกว้างขวางเริ่มก่อกระแสความไม่พอใจของคนไทยไปในวง กว้างในระหว่างนั้นก็มีข่าวว่าจีนพบกล่องดำของสายการบินมาเลย์เซียแอร์ไลน์ ที่สูญหายไปและรัฐบาลมาเลเซียสร้างความผิดพลาดจนทำให้คนบนเครื่องบินต้องหาย สาปสูญ
ข่าวดังกล่าว มีผลให้ข่าวส่งผู้อพยพอุยกูร์เบาบางลงและเริ่มเงียบไปจนมาเกิดเหตุระเบิดราช ประสงค์เรื่องราวดังกล่าวจึงถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง

3.ข่าวผู้รักประชาธิปไตยแสดงออกด้วยการเดินจาก มธ.ไปอนุเสาวรีย์ ปชต.สามารถกระตุ้นให้ประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความเป็นประชาธิปไตยและในขณะ เดียวกันที่บิ๊กเหล่ประยุทธเตรียมตัวเดินทางไปนิวยอร์คได้เกิดกระแสเตรียม การประท้วงโดยคนไทยผู้รักปชต.ที่หน้าองค์การสหประชาชาตินิวยอร์คและเริ่มจุด กระแสความสนใจของผู้รักปชต.ไปทั่วประเทศ
.....อยู่ดีๆก็มีข่าว"ตั้น" จิตภัส กฤดากร(ภิรมย์ภักดี) กำลังจะได้รับการติดยศเป็นร.ต.ต.หญิงตำเหน่งรองสารวัตรข่าวดังกล่าวจุดพลุ ความไม่พอใจต่อวงการตำรวจและผู้รักปชต.อย่างรุนแรงเพราะตั้นคือหนึ่งใน นกหวีดที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีตำรวจและขบวนหารยุติธรรมแต่ข่าวดังกล่าวมีผลให้ ข่าวความไม่ชอบธรรมหรือเลวร้ายของรัฐบาลเผด็จการทหารที่กำลังเกิดกระแสต่อ ต้านไปทั่วประเทศได้ถูกกลบด้วยข่าว"ตั้น"ในชั่วข้ามคืน

................................

หมายเหตุ
1.กรณีข่าวจากเหตุการณ์ต่างๆทำให้มองเห็นเลห์กลของเผด็จการศักดินาที่พยายามเบี่ยงเบนความสนใจต่อการกระทำอันล้มเหลวของตนเอง

2.ประชาชนผู้รักปชต.ที่กำลังต่อสู้กับเผด็จการศักดินาควรรู้เล่ห์กลในการ เล่นสงครามข่าวสารเพราะฝ่ายเผด็จการศักดินาจะอาศัยประสบการณ์ เครื่องมือรัฐตลอดจนกลไกราชการเพื่อกลบเกลื่อนหรือเบี่ยงเบนข่าวสาร ที่มีผลกระทบต่อตัวเอง

3.ข่าวของบุคคลบางคน จะมีอิทธิพลในการจูงใจต่อความสนใจค่อนข้างแรงเช่นข่าวแตงโมข่าวตั้น ซึ่งเป็นบุคคลที่ฝ่ายปชต.ไม่พอใจและเกลียดชังอยู่แล้วการเล่นข่าวของบุคคล ดังกบ่าวของเผด็จการศักดินาจะสามารถกลบเกลื่อนหรือเบียงเบนความสนใจของ ประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้นประชาชนผู้รักปชต.ควรรู้เท่าทันหากจะติดตามข่าว"ตั้น"ได้รับการอวยยศ หรือไม่ก็ไม่ควรทิ้งเป้าหมายในการเล่นข่าวความเลวร้ายหรือล้มเหวจากการกระทำ อันไม่ชอบธรรมของเผด็จการศักดินาเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายในความเป็น ประชาธิปไตย..อย่างแท้จริง

“ทำไมคนไทยหลายคนต้องหลบลี้ หนีภัย ไปอยู่ต่างประเทศ”

จอม เพชรประดับ


การจะตอบคำถามที่ว่า "ทำไมต้องหลบลี้ หนีภัย ไปอยู่ต่างประเทศ" ของคนไทยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งขณะนี้น่าจะได้คำตอบและยอมรับตัวเองแล้วว่าเป็น "ผู้ลี้ภัยทางการเมือง" ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อาจจะมึนงง สับสน ไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไรกับอนาคตหรือชีวิตของตัวเอง เมื่อไม่พอใจ ไม่เห็นด้วย กับการรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

คนไทยที่ออกไปลี้ภัยการเมืองอยู่ในต่างประเทศอาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยของชาวต่างชาติ หรือรัฐบาลต่างประเทศมากนัก เพราะตลอดเวลากว่าร้อยที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่เคยผ่านวิกฤติสงครามกลางเมือง หรือ สงครามระหว่างประเทศ ที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายของผู้คนเป็นจำนวนมากมาก่อน


นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ขอลี้ภัยการเมืองอยู่ในต่างประเทศ และอีกฐานะหนึ่งคือ เลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย (Free Thai Organisation for Human Rights and Democracy) ซึ่งเป็นองค์กรที่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วขณะนี้ กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องหนีออกมาต่อสู้ในต่างประเทศว่า 
"หัวใจสำคัญที่ผมตัดสินใจหนีออกมาสู้ในต่างประเทศ เพราะไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เราต้องการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ อิสรภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรม กี่ปี่มาแล้ว กี่ครั้งมาแล้ว ที่ประเทศไทยเกิดการทำรัฐประหาร แต่สุดท้ายประเทศก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แสดงว่ามันต้องมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องการให้คนไทยเป็นเจ้าของอธิปไตยอย่างแท้จริง หรือไม่ต้องการที่ให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงตามที่ประชาชนเรียกร้องต้องการ"

ความเป็นอดีตนักการเมือง ออกมาเป็นแกนนำเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองในต่างประเทศ อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่ชอบธรรมในการเคลื่อนไหวร่วมกับประชาชนกลุ่มอื่นๆ เพราะอาจจะถูกมองว่ามีผลประโยชน์ทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง

"ผมลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก่อนที่จะเดินทางออกนอกประเทศไทยด้วยซ้ำ และตอนนี้ ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพรรคเพื่อไทยอีกแล้ว หรือแม้แต่กับกลุ่ม นปช. ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ผมเคลื่อนไหวในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเท่านั้นเอง" นายจารุงพงศ์ กล่าวยืนยันจุดยืนและสถาภาพของตัวเองในขณะนี้ พร้อมทั้งยืนยันว่า หากเมืองไทยมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้ง ก็จะไม่เล่นการเมืองอีกต่อไปแล้วเช่นกัน

พร้อมทั้งย้ำด้วยว่า การถือกำเนิดขึ้นขององค์การเสรีไทยฯ ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือใดๆ จากพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก คุณ ทักษิณ ชินวัตร หรือตระกูลชินวัตร

"คุณทักษิณเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐประหาร มีชะตากรรมเดียวกับคนไทยที่ถูกยึดอำนาจไป ซึ่งคุณทักษิณ ไม่ได้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือองค์กรเสรีไทยเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นด้านใด เราเป็นกลุ่มคนไทย ซึ่งมีทั้งนักการเมือง ประชาชน นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา ที่รักในประชาธิปไตย และมีเป้าหมายเดียวกันคือการคัดค้านรัฐประหาร ต้องการให้ประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เรารวมตัวกัน สนับสนุนช่วยเหลือกันเอง ดูแลกันเอง โดยได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนอย่างสำคัญ" นายจารุพงศ์ชี้แจง

กลุ่มคนไทยที่ทำธุรกิจ ทำงาน เป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ อยู่แล้ว และมีหัวใจรักประชาธิปไตย เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ที่คอยให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวขององค์การเสรีไทยฯ และกลุ่มคนไทยผู้ขอลี้ภัยทางการเมือง

"ไม่ชอบเผด็จการ ไม่ชอบความไม่ถูกต้อง ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้เสียที ประเทศเรายังพัฒนาไปไม่ถึงไหนเพราะอะไร เพราะประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริง นี่คือสิ่งที่ผลักดันให้เราออกมาต่อสู้" คุณศักดิ์ เครือข่ายเสรีไทยฯ จากประเทศเบลเยียมบอกกล่าวถึงความรู้สึก และให้ข้อมูลด้วยว่า มีคนไทยที่หนีออกมาอยู่ในประเทศเบลเยียมหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประมาณสิบคน บวกกับกลุ่มคนไทยที่มาก่อนหน้านี้อีกเป็นจำนวนหลายร้อยคนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย แต่ส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะแสดงตัว จะแสดงออกผ่านเฟซบุ๊ก หรือ โซเซียลมีเดียกันมากกว่า เพราะยังมีความกลัวและไม่มั่นใจ แต่เชื่อว่านับจากนี้ไป ก็จะมีการเคลื่อนไหวที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

คุณแพท เครือข่ายเสรีไทยฯ ในสวิตเซอร์แลนด์ บอกว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมา ได้ต่อสู้เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงมาโดยตลอด และจะต่อสู้ต่อไป คนไทยในเบลเยียมมีเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการ แต่ยังรวมตัวกันไม่ได้ และไม่กล้าเปิดเผยตัว ที่เปิดเผยตัวมีเพียงแกนนำไม่กี่คน แต่กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวจะได้รับการสนับสนุนจากคนที่ไม่พร้อมที่จะออกมา

คุณต้น เครือข่ายเสรีไทยในสหรัฐอเมริกา บอกว่า ต่อสู้กับอำนาจเผด็จการมาเป็นเวลา 14-15 ปีแล้ว เคยถูกจับกุม คุมขังในเมืองไทยมาแล้วด้วย การที่เข้าร่วมต่อสู้ให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นครั้งสำคัญในชีวิต เพราะถือเป็นการต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ต่อสู้กับความอยุติธรรมในประเทศไทยอย่างเป็นระบบครั้งแรก

"ผมอยู่ในต่างประเทศมาก่อน ผมเห็นประเทศอื่นเขาพัฒนาก้าวหน้าไปกว่าเรามากแล้ว ทั้งๆ ที่บางประเทศเคยล้าหลังกว่าเรามาก แต่ดูประเทศไทยของเราในวันนี้สิ ผมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หรือน้อยอกน้อยใจแทนคนไทยทั้งประเทศ ทุกครั้งที่เห็นพลเมืองในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีชีวิตอย่างสุขสบาย มีความมั่นคงในอาชีพการงาน ได้รับการดูแลในแง่สวัสดิการจากรัฐบาลเป็นอย่างดี เขาอยู่ในประเทศของเขา อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่คนไทยในประเทศไทย ทำไมถึงอยู่ในบ้านเมืองตัวเองอย่างไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีและเกียรติยศในความเป็นเจ้าของประเทศมาโดยตลอด..ทำไม" คุณต้นเปรียบเทียบอย่างน้อยอกน้อยใจ

คุณต้นกล่าวว่า สิ่งที่เครือข่ายเสรีไทยจะต้องทำ คือการเปิดเผยความจริงให้ชาวโลกได้รับรู้ ให้สังคมโลกเห็นความอยุติธรรมในประเทศไทย การที่คนไทยถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพและถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จะต้องร่วมมือกับนานาชาติ เพื่อแก้ปัญหานี้ในประเทศไทย

"ประเทศไทยของเราในเวลานี้ ถูกควบคุม หรือยึดครองไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากร หรือโอกาสของการดำรงชีวิต ส่วนใหญ่อยู่ในกำมือของผู้มีเงินมีอำนาจเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ คนส่วนน้อยควบคุมเกือบทุกอย่าง ดังนั้น คนไทยทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งพลังของชาวต่างชาติที่เขารักประชาธิปไตย ต้องรวมเป็นพลังเพื่อแก้ปัญหานี้ในประเทศไทยให้ได้ ผมเชื่อมั่นว่าในที่สุดแล้ว เราจะเป็นฝ่ายชนะ" คุณต้นกล่าว

คุณลุงวู้ดดี้ อายุ 70 กว่าปีและเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เครือข่ายเสรีไทยฯ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ตนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตั้งแต่ 14 ตุลา 16 ความตั้งใจของคนไทยในอเมริกา คือการต่อต้านกับเผด็จการที่ไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตย อันนี้ชัดเจน ประเทศไทยเริ่มต้นเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ทั้งสมัยคุณชาติชาย สมัยคุณทักษิณ แต่สุดท้ายก็ถูกรัฐประหารไปเสียทุกครั้ง

"คนไทย และประเทศไทย ไม่ควรจะตกอยู่ในวังวนนี้อีกแล้ว ผมสู้มาเยอะแล้ว ถึงตอนนี้ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้ว จะสู้จนชีวิตจะหาไม่ จะสู้กับมันจนวันตาย เพื่อให้คนไทยได้อิสรภาพ และเสรีภาพกลับคืนมา เมื่อเราได้เห็นความเจริญของประเทศที่พัฒนามาแล้ว ผมต้องการเห็นเมืองแม่ของเรา มีการพัฒนาประเทศให้เจริญเหมือนประเทศอื่นๆ ที่เขาพัฒนาแล้วบ้าง เราจะต้องไม่ให้ลูกหลานของเราต้องมามีชะตากรรมเหมือนกับเรา เราจะต้องต่อสู้เพื่อเขาและเพื่ออนาคตของเขา" คุณลุงวูดดี้กล่าว

คุณรัฐ เครือข่ายเสรีไทยจากประเทศไทย กล่าวว่า เห็นภาพการทำร้ายประชาชนครั้งแรกในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทำให้เห็นความอยุติธรรมในประเทศไทย จากนั้นเริ่มชัดเจนมากขึ้น เมื่อเกิดการทำร้ายประชาชนในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในปี 2553 และเห็นการต่อสู้ของประชาชนตัวเล็กๆ อย่างคุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ รวมทั้งเมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา ทำให้ตาสว่างขึ้น จึงเข้าร่วมที่จะเคลื่อนไหวให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย

"การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารในประเทศไทยเวลานี้ ยังมีอยู่ และมีจำนวนมากด้วย แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน จะเคลื่อนไหวผ่านการใช้ไลน์ เฟซบุ๊ก เป็นหลัก เพราะถ้าออกมาแล้วจะโดนจับ ถามว่า อยากออกมามั้ย ก็อยากจะออกมา แต่ยังมีกฎอัยการศึก บางคนเมื่อออกมาแล้วก็ถูกจับกุม หรือโดนติดตามตัว มากๆ เข้าก็จะฝ่อไป หรือท้อไปกันเยอะ บางคนคิดว่า สู้ไปก็ไม่ชนะ ที่สำคัญขณะนี้ เราขาดแกนนำที่จะออกมาสู้ ถ้ามีแกนนำ จะทำให้เกิดเป็นกำลังใจให้กับคนอื่นๆ ได้มาก" คุณรัฐกล่าว

การพูดคุยกันของกลุ่มบุคคลที่ลี้ภัยการเมืองอยู่ในต่างประเทศ ที่เข้าร่วมเครือข่ายเสรีไทย และกลุ่มเคลื่อนไหวจากประเทศไทย หลายคน ไม่เคยร่วมขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มคนเสื้อแดง หรือ นปช.มาก่อน เพียงแต่เป็นผู้ติดตาม บางประเด็นก็เห็นด้วย และบางประเด็นก็ไม่เห็นด้วยกับ นปช. บางคนระบุชัดเจนว่าไม่ชอบ และไม่พอใจ พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ และ กลุ่ม นปช. อยู่หลายเรื่อง

สิ่งที่คนกลุ่มนี้รู้สึกร่วมกันคือ การเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ให้กับแผ่นดินแม่ของตัวเอง ไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อ นปช. ไม่ได้รับใช้พรรคเพื่อไทย และไม่ได้เป็นทาส พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างที่ถูกกล่าวหาจากคนไทยบางกลุ่ม และรัฐบาลเผด็จการทหารในประเทศไทย นี่เป็นประเด็นสำคัญ

ส่วนวิธีการและรูปแบบการเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มนั้น ก็จะเป็นอิสระจากกัน ไม่ติดยึดอยู่กับองค์การเสรีไทยฯ แต่มีเป้าหมายร่วมกันคือ การจะปลดแอกประเทศไทย ให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่กดหัว หรือ กดทับคนไทยอยู่ในขณะนี้