บันทึกเปิดผนึก
8 ปี เหตุการณ์ชุมนุมกลุ่มนปช. 19 พฤษภาคม 2553
ในฐานะแกนนำคนหนึ่ง ผมได้แสดงความรู้สึก รำลึก อาลัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาทุกปี เพื่อยืนยันหลักการประชาธิปไตยและปกป้องจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของประชาชนผู้ร่วมต่อสู้ ขณะเดียวกันตัวผมและพรรคพวกก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ทุกข้อกล่าวหา ซึ่งทุกคดีอยู่ในชั้นศาล
วาระของการรำลึกมาถึงอีกครั้ง แม้มีคำพูดมากมาย แต่ลึกสุดใจผมมีเรื่องเดียวที่อยากสื่อสารกับสังคมไทย
"ประชาชนถูกฆ่าตาย ประชาชนถูกยิงในเขตอภัยทาน !!!"
8 ปีแล้วคดีคนตาย 99 ศพยังไม่ถึงศาล ปปช.ยังไม่มีคำอธิบาย ไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอใดๆเพื่อให้สังคมได้สัมผัสความโปร่งใสของคดีนี้
จนกระทั่งผมได้รับแจ้งจากผู้รักความเป็นธรรมในสำนักงานปปช.ว่ามติยกคำร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ไม่มีรายละเอียดในสำนวนที่เราร้องขอมาตลอด มีเพียงเอกสารข่าว 2 หน้ากระดาษที่ใช้แจกสื่อมวลชน เรื่องนี้ตั้งคำถามผ่านสื่อไปแล้วแต่ทุกอย่างกลับเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงปฏิเสธจากปปช. จนผมหวั่นใจว่าถ้าความจริงเป็นตามข้อมูลที่ได้รับมาแล้วบ้านเมืองนี้จะเดินไปข้างหน้ากันอย่างไร
มีวาทกรรมมากมายอธิบายความชอบธรรมให้การฆ่า เช่น
@มีการเผาบ้านเผาเมืองจึงต้องปราบปรามด้วยความรุนแรง
เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เหตุการณ์เพลิงไหม้เกิดขึ้นหลังยุติการชุมนุม ทุกคนถูกฆ่าตายก่อนหน้านั้น และเหตุเพลิงไหม้ทั้งหมดรอบพื้นที่การชุมนุมในกรุงเทพฯศาลมีคำพิพากษายกฟ้องผู้ถูกกล่าวหาไปทุกรายแล้ว ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เรารวบรวมหลักฐานไว้ครบถ้วน และจะได้นำสืบว่าฝ่ายไหนคือผู้ลงมือในการต่อสู้คดีก่อการร้าย
@เหตุที่มีคนตายเพราะเจ้าหน้าที่ต้องจัดการกองกำลังติดอาวุธ
ข้อเท็จจริงประเด็นนี้ไม่ซับซ้อน เพราะประชาชนที่เสียชีวิตไม่มีศพไหนมีอาวุธอยู่กับตัว ที่มือไม่มีคราบเขม่าดินปืน ทุกคนมีตัวตน ไม่ปรากฏว่าใครเคยมีประวัติเป็นอาชญากรหรือมีพฤติการณ์นอกกฎหมายมาก่อน
@ฝ่ายผู้ชุมนุมใช้กองกำลังฆ่าประชาชนเพื่อใส่ร้ายรัฐบาลขณะนั้น
ต้องอำมหิตแค่ไหนถึงคิดได้แบบนี้ ทุกคนที่ออกมาต่อสู้ผูกพันกันเสมือนญาติ หลายรายที่ตายเพราะเห็นเพื่อนล้มแล้วเข้าไปช่วยจึงถูกยิงตายตามกัน ไม่มีทางที่จะคิดฆ่ากันเอง มีหลายรายที่ศาลไต่สวนสาเหตุการตาย เช่น 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ในคำวินิจฉัยชี้ว่าเสียชีวิตจากปืนฝั่งเจ้าหน้าที่ ระบุชัดด้วยว่าไม่ปรากฏชายชุดดำยิงตอบโต้ตามที่กล่าวอ้าง
แม้แต่นายอภิสิทธิ์ยังเคยโพสต์ลงเฟซบุ๊กเมื่อปี 2554 ว่ามีการฆ่ากันเองแล้วเผาศพจนเป็นเถ้าถ่านหน้าวัดปทุมวนาราม อ้างว่าเป็นคดีอยู่ที่สน.ทุ่งมหาเมฆ เมื่อผมตามไปตรวจสอบกลับไม่พบหลักฐานแม้กระทั่งบันทึกประจำวันในกรณีดังกล่าว
ผมไม่คิดใช้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขทางการเมือง แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่จะรำลึกถึงเหตุการณ์โดยแกล้งลืมคนตาย จึงอยากสื่อสารกับสังคมและกระตุ้นเตือนปปช.ว่าความยุติธรรมมิได้ก่อขึ้นด้วยเม็ดทราย แต่เป็นรากฐานของความเป็นมนุษย์ จึงมิอาจปล่อยให้ปลิวหายไปในสายลมและกาลเวลา
คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯปี 2551 อัยการสั่งไม่ฟ้องปปช.จ้างทนายฟ้องเอง พอศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้อง ปปช.ยังอุตส่าห์มีมติอุทธรณ์กรณีพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว แต่คดีกลุ่มนปช.ปี 2553 ปปช.ยกคำร้องและมีท่าทีว่าจะไม่ยกขึ้นพิจารณาใหม่ แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าความผิดคดีฆ่าซึ่งอัยการสูงสุดสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองไว้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย ปปช.ก็ยังไม่แสดงความพยายามจะทำให้คดีไปถึงศาล
แม้เวลาจะผ่านเลยแล้ว 8 ปี แต่ความเป็นไปของคดีนี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อภารกิจของคณะรัฐประหาร เพราะความปรองดองจะเกิดได้อย่างไรในเมื่อคนถูกฆ่าตายเป็นร้อยกลางเมืองหลวงไม่ได้รับความยุติธรรม การปฏิรูปก็ไม่มีทางสำเร็จเพราะกระบวนการยุติธรรมขาดความโปร่งใสจนถูกมองว่า 2 มาตรฐาน และการปราบทุจริตคอร์รัปชันจะเป็นจริงไม่ได้หากยังมีการคอร์รัปชันความยุติธรรมอย่างที่เกิดขึ้นในคดีนี้
ประเทศไทยอยู่ในวังวนขัดแย้งมากว่า 10 ปี จนถึงขณะนี้ก็ยังมองไม่เห็นหลักประกันใดๆที่จะออกจากหลุมดำนี้ได้ เราไม่มีหลักประกันเรื่องการเลือกตั้ง ไม่มีหลักประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพ ไม่มีหลักประกันว่าความขัดแย้งใหญ่จะไม่กลับมาอีกครั้งภายใต้กติกาและวิถีอำนาจที่เป็นอยู่นี้ และไม่มีหลักประกันว่าประชาชนจะไม่ถูกปราบปรามโดยอำมหิตหากมีการเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งก็ไม่มีหลักประกันเช่นกันว่าจะกลับคืนสู่สังคมไทยได้ตามที่ประกาศกันไว้
ผมเข้าใจว่าการรำลึกอดีตคือการสรุปบทเรียนเพื่อก้าวไปข้างหน้า แต่สำหรับเหตุการณ์เมษา – พฤษภา 53 กลับเป็นการรำลึกที่จองจำหัวใจคนจำนวนมากเอาไว้ เพราะบทเรียนที่ได้คือการเชือดเฉือน เย้ยหยันคนตายในนามอำนาจแห่งกระบวนการยุติธรรม สภาพเช่นนี้ แม้เราอยากก้าวเดินแต่อนาคตก็มืดมนเกินกว่าแสงแห่งความหวังจะแทรกผ่านมาได้
8 ปีมาแล้ว มีภาพเหตุการณ์ที่ผมลืมไม่ลงมากมาย แต่ความยุติธรรมของคนตายคือเรื่องที่ผมจำได้แม่นยำที่สุด และจะพยายามอย่างที่สุดไม่ให้เรื่องนี้ถูกลบเลือนไป
วันหนึ่ง คดีคนตาย 99 ศพต้องถึงศาลให้ได้
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
18 พฤษภาคม 2561
บันทึกเปิดผนึก
8 ปี เหตุการณ์ชุมนุมกลุ่มนปช. 19 พฤษภาคม 2553
ในฐานะแกนนำคนหนึ่ง ผมได้แสดงความรู้สึก รำลึก อาลัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาทุกปี เพื่อยืนยันหลักการประชาธิปไตยและปกป้องจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของประชาชนผู้ร่วมต่อสู้ ขณะเดียวกันตัวผมและพรรคพวกก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ทุกข้อกล่าวหา ซึ่งทุกคดีอยู่ในชั้นศาล
วาระของการรำลึกมาถึงอีกครั้ง แม้มีคำพูดมากมาย แต่ลึกสุดใจผมมีเรื่องเดียวที่อยากสื่อสารกับสังคมไทย
"ประชาชนถูกฆ่าตาย ประชาชนถูกยิงในเขตอภัยทาน !!!"
8 ปีแล้วคดีคนตาย 99 ศพยังไม่ถึงศาล ปปช.ยังไม่มีคำอธิบาย ไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอใดๆเพื่อให้สังคมได้สัมผัสความโปร่งใสของคดีนี้
จนกระทั่งผมได้รับแจ้งจากผู้รักความเป็นธรรมในสำนักงานปปช.ว่ามติยกคำร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ไม่มีรายละเอียดในสำนวนที่เราร้องขอมาตลอด มีเพียงเอกสารข่าว 2 หน้ากระดาษที่ใช้แจกสื่อมวลชน เรื่องนี้ตั้งคำถามผ่านสื่อไปแล้วแต่ทุกอย่างกลับเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงปฏิเสธจากปปช. จนผมหวั่นใจว่าถ้าความจริงเป็นตามข้อมูลที่ได้รับมาแล้วบ้านเมืองนี้จะเดินไปข้างหน้ากันอย่างไร
มีวาทกรรมมากมายอธิบายความชอบธรรมให้การฆ่า เช่น
@มีการเผาบ้านเผาเมืองจึงต้องปราบปรามด้วยความรุนแรง
เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เหตุการณ์เพลิงไหม้เกิดขึ้นหลังยุติการชุมนุม ทุกคนถูกฆ่าตายก่อนหน้านั้น และเหตุเพลิงไหม้ทั้งหมดรอบพื้นที่การชุมนุมในกรุงเทพฯศาลมีคำพิพากษายกฟ้องผู้ถูกกล่าวหาไปทุกรายแล้ว ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เรารวบรวมหลักฐานไว้ครบถ้วน และจะได้นำสืบว่าฝ่ายไหนคือผู้ลงมือในการต่อสู้คดีก่อการร้าย
@เหตุที่มีคนตายเพราะเจ้าหน้าที่ต้องจัดการกองกำลังติดอาวุธ
ข้อเท็จจริงประเด็นนี้ไม่ซับซ้อน เพราะประชาชนที่เสียชีวิตไม่มีศพไหนมีอาวุธอยู่กับตัว ที่มือไม่มีคราบเขม่าดินปืน ทุกคนมีตัวตน ไม่ปรากฏว่าใครเคยมีประวัติเป็นอาชญากรหรือมีพฤติการณ์นอกกฎหมายมาก่อน
@ฝ่ายผู้ชุมนุมใช้กองกำลังฆ่าประชาชนเพื่อใส่ร้ายรัฐบาลขณะนั้น
ต้องอำมหิตแค่ไหนถึงคิดได้แบบนี้ ทุกคนที่ออกมาต่อสู้ผูกพันกันเสมือนญาติ หลายรายที่ตายเพราะเห็นเพื่อนล้มแล้วเข้าไปช่วยจึงถูกยิงตายตามกัน ไม่มีทางที่จะคิดฆ่ากันเอง มีหลายรายที่ศาลไต่สวนสาเหตุการตาย เช่น 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ในคำวินิจฉัยชี้ว่าเสียชีวิตจากปืนฝั่งเจ้าหน้าที่ ระบุชัดด้วยว่าไม่ปรากฏชายชุดดำยิงตอบโต้ตามที่กล่าวอ้าง
แม้แต่นายอภิสิทธิ์ยังเคยโพสต์ลงเฟซบุ๊กเมื่อปี 2554 ว่ามีการฆ่ากันเองแล้วเผาศพจนเป็นเถ้าถ่านหน้าวัดปทุมวนาราม อ้างว่าเป็นคดีอยู่ที่สน.ทุ่งมหาเมฆ เมื่อผมตามไปตรวจสอบกลับไม่พบหลักฐานแม้กระทั่งบันทึกประจำวันในกรณีดังกล่าว
ผมไม่คิดใช้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขทางการเมือง แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่จะรำลึกถึงเหตุการณ์โดยแกล้งลืมคนตาย จึงอยากสื่อสารกับสังคมและกระตุ้นเตือนปปช.ว่าความยุติธรรมมิได้ก่อขึ้นด้วยเม็ดทราย แต่เป็นรากฐานของความเป็นมนุษย์ จึงมิอาจปล่อยให้ปลิวหายไปในสายลมและกาลเวลา
คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯปี 2551 อัยการสั่งไม่ฟ้องปปช.จ้างทนายฟ้องเอง พอศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้อง ปปช.ยังอุตส่าห์มีมติอุทธรณ์กรณีพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว แต่คดีกลุ่มนปช.ปี 2553 ปปช.ยกคำร้องและมีท่าทีว่าจะไม่ยกขึ้นพิจารณาใหม่ แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าความผิดคดีฆ่าซึ่งอัยการสูงสุดสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองไว้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย ปปช.ก็ยังไม่แสดงความพยายามจะทำให้คดีไปถึงศาล
แม้เวลาจะผ่านเลยแล้ว 8 ปี แต่ความเป็นไปของคดีนี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อภารกิจของคณะรัฐประหาร เพราะความปรองดองจะเกิดได้อย่างไรในเมื่อคนถูกฆ่าตายเป็นร้อยกลางเมืองหลวงไม่ได้รับความยุติธรรม การปฏิรูปก็ไม่มีทางสำเร็จเพราะกระบวนการยุติธรรมขาดความโปร่งใสจนถูกมองว่า 2 มาตรฐาน และการปราบทุจริตคอร์รัปชันจะเป็นจริงไม่ได้หากยังมีการคอร์รัปชันความยุติธรรมอย่างที่เกิดขึ้นในคดีนี้
ประเทศไทยอยู่ในวังวนขัดแย้งมากว่า 10 ปี จนถึงขณะนี้ก็ยังมองไม่เห็นหลักประกันใดๆที่จะออกจากหลุมดำนี้ได้ เราไม่มีหลักประกันเรื่องการเลือกตั้ง ไม่มีหลักประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพ ไม่มีหลักประกันว่าความขัดแย้งใหญ่จะไม่กลับมาอีกครั้งภายใต้กติกาและวิถีอำนาจที่เป็นอยู่นี้ และไม่มีหลักประกันว่าประชาชนจะไม่ถูกปราบปรามโดยอำมหิตหากมีการเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งก็ไม่มีหลักประกันเช่นกันว่าจะกลับคืนสู่สังคมไทยได้ตามที่ประกาศกันไว้
ผมเข้าใจว่าการรำลึกอดีตคือการสรุปบทเรียนเพื่อก้าวไปข้างหน้า แต่สำหรับเหตุการณ์เมษา – พฤษภา 53 กลับเป็นการรำลึกที่จองจำหัวใจคนจำนวนมากเอาไว้ เพราะบทเรียนที่ได้คือการเชือดเฉือน เย้ยหยันคนตายในนามอำนาจแห่งกระบวนการยุติธรรม สภาพเช่นนี้ แม้เราอยากก้าวเดินแต่อนาคตก็มืดมนเกินกว่าแสงแห่งความหวังจะแทรกผ่านมาได้
8 ปีมาแล้ว มีภาพเหตุการณ์ที่ผมลืมไม่ลงมากมาย แต่ความยุติธรรมของคนตายคือเรื่องที่ผมจำได้แม่นยำที่สุด และจะพยายามอย่างที่สุดไม่ให้เรื่องนี้ถูกลบเลือนไป
วันหนึ่ง คดีคนตาย 99 ศพต้องถึงศาลให้ได้
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
18 พฤษภาคม 2561
In January 2018, Department of Special Investigation officials and soldiers raided Victoria's Secret, a massage parlour on Bangkok's Rama 9. Six managers were arrested, 113 women were detained and an arrest warrant was put out for the owner Kampol Weerathepsuporn. The massage parlour, in reality a large-scale brothel, had for years offered migrant and underage girls for sexual services. The motive for its sudden closure must be sought in Thailand's increasingly heated elite power struggles.
In the aftermath of the raid, it was revealed that Kampol had given a 300 million baht loan to Police General Somyot Poompanmoung while the latter was serving as commissioner-general of the Royal Thai Police and on the National Legislative Assembly. Somyot had been appointed by the National Council for Peace and Order (NCPO) to lead the Thai police.
As the raid made national news, Chuwit Kamolvisit a massage parlour owner-turned-politician and media personality, made a series of revelations about the case. Drawing on his inside knowledge, Chuwit—who founded and ran Victoria's Secret before selling it to Kampol in 2004—pointed out the links between the massage parlour and Aqua Corporation. Aqua is a company listed on the Thai stock exchange that was taken over by Kampol and a network of investors in 2014. Once in control of the company, the new owners changed the management and board and sold off assets, in effect turning it into a shell company. Aqua was to serve as a conduit to launder money from the massage business and other shady deals.
In his revelations, Chuwit pointed out that the amount of money channelled through Aqua is far larger than what could be made from a massage parlour business and suggested Aqua is also being used to launder money from government corruption. Records of share ownership and business dealings confirm the story. Aqua quickly moved to stop reporting about its links to the massage business by launching a 333 million baht lawsuit against Chuwit and the media outlets that had run the story.
But the revelations stopped short of addressing some key issues. Chuwit, recently released from prison, was careful to omit the most sensitive aspects—in particular the massage parlour's links to the NCPO. Victoria's secret was far from fully revealed.
Kampol is part of a network of influential persons with direct links to the junta. On the board of Aqua we find Police Lieutenant General Wiboon Bangthamai, a current member of the National Legislative Assembly. Wiboon is married to a sister of junta leader General Prayuth's wife. Support from Prayuth has been important as Wiboon has advanced rapidly up the ranks of the police. Wiboon was brought in to sit on the board of Aqua while serving as commander of the immigration police—no wonder that Victoria's Secret and the other parlours owned by Kampol could secure a steady stream of young women from neighbouring countries to work.
Among investors in Aqua we find Chai Bunnag. Chai has built an expanding media empire controlled by his News Network Corporation. Through this, he controls several TV news channels including Spring News, T News and INN News. Recently he also wrested control over the Nation Group, expanding the number of TV channels under his control as well as making a major push into English and Thai language print media.
All of the news outlets under Chai's control are strongly right-wing and support the NCPO. In the aftermath of the raid on Victoria's Secret, they have defended Somyot, Aqua and others within the network.
As a further twist to the story, the network around Kampol have central roles within Thai football. Somyot serves as the President of the Football Association of Thailand. Watanya Wongopasi, the wife of Chai Bunnag, used to manage the women's U23 team. Kampol holds an ownership stake in Chiang Rai United and Aqua sponsors the same club. With football becoming a core part of the efforts of political groups to build strong provincial support bases, this network has the potential to leverage its influence over football for political influence.
The raid against Victoria's Secret was orchestrated by a group within the state that is opposing the growing influence of the Kampol–Chai–Somyot network—but their identity is still not known. Important secrets are yet to be brought into the light. The sources of the illicit money laundered through Aqua have also yet to be revealed. Exposing the details of these shady dealings are key to understanding the nature of graft under the NCPO.
New Mandala has confirmed the identity and credentials of the author. In respect of the author's wishes, this article has been published anonymously.
In January 2018, Department of Special Investigation officials and soldiers raided Victoria's Secret, a massage parlour on Bangkok's Rama 9. Six managers were arrested, 113 women were detained and an arrest warrant was put out for the owner Kampol Weerathepsuporn. The massage parlour, in reality a large-scale brothel, had for years offered migrant and underage girls for sexual services. The motive for its sudden closure must be sought in Thailand's increasingly heated elite power struggles.
In the aftermath of the raid, it was revealed that Kampol had given a 300 million baht loan to Police General Somyot Poompanmoung while the latter was serving as commissioner-general of the Royal Thai Police and on the National Legislative Assembly. Somyot had been appointed by the National Council for Peace and Order (NCPO) to lead the Thai police.
As the raid made national news, Chuwit Kamolvisit a massage parlour owner-turned-politician and media personality, made a series of revelations about the case. Drawing on his inside knowledge, Chuwit—who founded and ran Victoria's Secret before selling it to Kampol in 2004—pointed out the links between the massage parlour and Aqua Corporation. Aqua is a company listed on the Thai stock exchange that was taken over by Kampol and a network of investors in 2014. Once in control of the company, the new owners changed the management and board and sold off assets, in effect turning it into a shell company. Aqua was to serve as a conduit to launder money from the massage business and other shady deals.
In his revelations, Chuwit pointed out that the amount of money channelled through Aqua is far larger than what could be made from a massage parlour business and suggested Aqua is also being used to launder money from government corruption. Records of share ownership and business dealings confirm the story. Aqua quickly moved to stop reporting about its links to the massage business by launching a 333 million baht lawsuit against Chuwit and the media outlets that had run the story.
But the revelations stopped short of addressing some key issues. Chuwit, recently released from prison, was careful to omit the most sensitive aspects—in particular the massage parlour's links to the NCPO. Victoria's secret was far from fully revealed.
Kampol is part of a network of influential persons with direct links to the junta. On the board of Aqua we find Police Lieutenant General Wiboon Bangthamai, a current member of the National Legislative Assembly. Wiboon is married to a sister of junta leader General Prayuth's wife. Support from Prayuth has been important as Wiboon has advanced rapidly up the ranks of the police. Wiboon was brought in to sit on the board of Aqua while serving as commander of the immigration police—no wonder that Victoria's Secret and the other parlours owned by Kampol could secure a steady stream of young women from neighbouring countries to work.
Among investors in Aqua we find Chai Bunnag. Chai has built an expanding media empire controlled by his News Network Corporation. Through this, he controls several TV news channels including Spring News, T News and INN News. Recently he also wrested control over the Nation Group, expanding the number of TV channels under his control as well as making a major push into English and Thai language print media.
All of the news outlets under Chai's control are strongly right-wing and support the NCPO. In the aftermath of the raid on Victoria's Secret, they have defended Somyot, Aqua and others within the network.
As a further twist to the story, the network around Kampol have central roles within Thai football. Somyot serves as the President of the Football Association of Thailand. Watanya Wongopasi, the wife of Chai Bunnag, used to manage the women's U23 team. Kampol holds an ownership stake in Chiang Rai United and Aqua sponsors the same club. With football becoming a core part of the efforts of political groups to build strong provincial support bases, this network has the potential to leverage its influence over football for political influence.
The raid against Victoria's Secret was orchestrated by a group within the state that is opposing the growing influence of the Kampol–Chai–Somyot network—but their identity is still not known. Important secrets are yet to be brought into the light. The sources of the illicit money laundered through Aqua have also yet to be revealed. Exposing the details of these shady dealings are key to understanding the nature of graft under the NCPO.
New Mandala has confirmed the identity and credentials of the author. In respect of the author's wishes, this article has been published anonymously.